การวิเคราะห์สูตรเจลที่คุณเสนอ

มาดูรายละเอียดสูตรเจลที่คุณเสนอและคำถามของคุณกันค่ะ

ความเป็นไปได้ของสูตรที่เสนอ

สูตรเริ่มต้นของคุณประกอบด้วย Pro Polymer (5%), Cyclomethicone, L-ascorbic acid (15%), Glycolic acid (3%), Disodium EDTA (0.2%) และน้ำ (75%)

• Pro Polymer: การใช้ Pro Polymer ที่ 5% ถือเป็นความเข้มข้นสูง ตามรายละเอียดผลิตภัณฑ์ ความเข้มข้นนี้สามารถทำให้ได้เนื้อเจลที่ข้นมากเกือบเหมือนพุดดิ้ง คุณอาจพิจารณาใช้ในปริมาณที่น้อยลง (เช่น 0.8% สำหรับเนื้อเจลทั่วไป) ขึ้นอยู่กับความข้นที่คุณต้องการ
• Cyclomethicone: Cyclomethicone เป็นซิลิโคนที่ไม่ละลายในน้ำ ในขณะที่ Pro Polymer สร้างเนื้อเจลที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ดังนั้น Cyclomethicone จึงไม่สามารถเข้ากันได้ดีในสูตรเจลประเภทนี้และมีแนวโน้มที่จะแยกชั้นออกมา ไม่สามารถใช้ร่วมกับระบบเจลที่มีน้ำเป็นเบสและใช้ Pro Polymer เป็นสารก่อเจลได้
• L-ascorbic acid (วิตามินซี) และ Glycolic acid: ทั้ง L-ascorbic acid (15%) และ Glycolic acid (3%) เป็นสารออกฤทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูง L-ascorbic acid ต้องการค่า pH ต่ำ (เหมาะที่สุดคือ 2.0-4.0 โดย อย. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์แบบทาทิ้งไว้มีค่า pH >= 3.5) เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพ Glycolic acid ก็ต้องการค่า pH ต่ำ (<= 4.0 เหมาะที่สุดคือ 2.5-3.5) เพื่อการผลัดเซลล์ผิวที่ดี การรวมกรดทั้งสองชนิดนี้ในความเข้มข้นดังกล่าวจะทำให้สูตรมีค่า pH ต่ำมาก แม้จะเป็นไปได้ แต่การทำให้สูตรมีความเสถียรด้วยสารออกฤทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงและมีค่า pH ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองมากเกินไป (เหมาะที่สุดคือ >= 3.5) ต้องอาศัยการปรับสูตรและค่า pH อย่างระมัดระวัง ความเข้มข้นของ L-ascorbic acid ที่ 15% เหมาะสำหรับการปรับผิวให้กระจ่างใส และ Glycolic acid 3% อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ในเครื่องสำอางทั่วไป
• Disodium EDTA: การใส่ Disodium EDTA ที่ 0.2% เหมาะสมและแนะนำ โดยเฉพาะเมื่อใช้ L-ascorbic acid ในน้ำ เนื่องจากช่วยจับไอออนของโลหะและเพิ่มความเสถียร

ความเป็นไปได้โดยรวม: ปัญหาหลักของสูตรที่คุณเสนอเริ่มต้นคือการใส่ Cyclomethicone ซึ่งไม่เข้ากันกับเจลที่มีน้ำเป็นเบส การรวม L-ascorbic acid และ Glycolic acid ที่มีความเข้มข้นสูงต้องอาศัยการจัดการค่า pH อย่างระมัดระวังเพื่อความเสถียรและลดการระคายเคือง

การใช้กับผิวหน้า

แม้ว่า L-ascorbic acid และ Glycolic acid จะมีประโยชน์ต่อผิวหน้า แต่สูตรที่คุณเสนอค่อนข้างมีความเข้มข้นสูงเนื่องจากมี L-ascorbic acid ถึง 15% และมี Glycolic acid 3% สูตรที่มีค่า pH ต่ำและมีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สูงสามารถทำให้เกิดการระคายเคือง รอยแดง และการลอกของผิวได้ โดยเฉพาะกับผิวหน้าที่บอบบาง หากคุณเลือกที่จะใช้สูตรนี้ แนะนำอย่างยิ่งให้ทดสอบกับผิวบริเวณเล็กๆ ก่อนทาทั่วใบหน้า การใช้สูตรนี้อาจจะแรงเกินไปสำหรับการใช้กับผิวหน้าทุกวัน โดยเฉพาะหากผิวของคุณยังไม่เคยชินกับสารออกฤทธิ์ที่แรง

สูตรเจลขมิ้น

การทำเจลขมิ้นโดยตัด Cyclomethicone, L-ascorbic acid, Glycolic acid และ Disodium EDTA ออก แล้วเพิ่มสารสกัดขมิ้นชันเข้าไป สามารถทำได้ WhiteCumin™ 2x (สารสกัดขมิ้นชัน) เป็นสารสกัดชนิดน้ำที่ละลายน้ำได้โดยตรง สามารถนำมาผสมในเจลที่มีน้ำเป็นเบสและใช้ Pro Polymer เป็นสารก่อเจลได้ง่าย คุณจะต้องปรับปริมาณ Pro Polymer เพื่อให้ได้ความข้นของเจลที่ต้องการเมื่อใส่สารสกัดขมิ้นชันเข้าไป (อัตราการใช้ WhiteCumin™ 2x ที่แนะนำคือ 1-4%) การใส่ Disodium EDTA (0.1-0.2%) ในสูตรนี้ก็แนะนำเพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรโดยรวมของส่วนที่เป็นน้ำ

Glycolic Acid ในสูตรกลางคืน

ใช่ค่ะ Glycolic acid นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับกลางคืน เนื่องจากคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น การทาตอนกลางคืนจึงเป็นที่แนะนำ ความเข้มข้น 3% ที่คุณเสนออยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ในเครื่องสำอางทั่วไป ตรวจสอบให้แน่ใจว่าค่า pH สุดท้ายของสูตรเหมาะสม (เหมาะที่สุดคือระหว่าง 3.5 ถึง 4.0) เพื่อให้ได้ทั้งประสิทธิภาพและความปลอดภัยเมื่อใช้ Glycolic acid

สรุปคือ สูตรเริ่มต้นของคุณต้องมีการปรับปรุงเรื่องความเข้ากันได้ของ Cyclomethicone ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ที่สูงหมายความว่าควรใช้กับผิวหน้าด้วยความระมัดระวัง การทำเจลขมิ้นสามารถทำได้ และ Glycolic acid เหมาะสำหรับใช้ในเวลากลางคืน