การปรับสูตรโทนเนอร์วิตามินซี DIY: ใช้วิชฮาเซลและกลูต้าไธโอนเพื่อความเสถียร
คำถาม
ฉันมีสูตรโทนเนอร์ DIY ที่ใช้วิตามินซี (L-ascorbic acid) และน้ำกลั่น ฉันอยากทราบว่า:
- สามารถใช้วิชฮาเซลกลั่น (Witch Hazel (Distillate - Alcohol Free, Paraben Free)) แทนน้ำกลั่นได้หรือไม่?
- การเติม Glutathione (L-Glutathione) จะช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับ L-ascorbic acid ในโทนเนอร์ได้หรือไม่? หากได้ ควรใช้ในสัดส่วนหรือปริมาณเท่าใด?
คำตอบ
การปรับปรุงสูตรโทนเนอร์วิตามินซี DIY
สำหรับคำถามเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนสูตรโทนเนอร์ L-ascorbic acid ที่ใช้อยู่:
การใช้วิชฮาเซลกลั่นแทนน้ำกลั่น
สามารถใช้วิชฮาเซลกลั่น (Witch Hazel (Distillate - Alcohol Free, Paraben Free)) แทนน้ำกลั่นได้ เนื่องจากวิชฮาเซลกลั่นมีความเป็นกรด (โดยทั่วไปมีค่า pH อยู่ระหว่าง 3-5) ซึ่งเข้ากันได้ดีกับ L-ascorbic acid ที่ต้องการสภาวะที่เป็นกรดเพื่อความเสถียร อย่างไรก็ตาม แนะนำให้เติม Disodium EDTA ในความเข้มข้น 0.1-0.2% เพื่อช่วยจับไอออนของโลหะที่อาจมีอยู่ในวิชฮาเซล ซึ่งอาจทำให้ L-ascorbic acid ไม่เสถียรได้
การเติมกลูต้าไธโอนเพื่อเพิ่มความเสถียร
สามารถเติม Glutathione (L-Glutathione) ลงในสูตรได้ เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับ L-ascorbic acid ด้วยคุณสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถใช้ในอัตราส่วน 1-3% สำหรับสูตรที่ต้องการเพิ่มความเสถียรของวิตามินซีโดยเฉพาะ แนะนำให้ใช้อัตราส่วน 1:10 (กลูต้าไธโอน ต่อ L-Ascorbic Acid)
การจัดเก็บและอายุการใช้งาน
ไม่ว่าจะเติมกลูต้าไธโอนหรือไม่ ควรเก็บโทนเนอร์ไว้ในตู้เย็น (อุณหภูมิ 6-8°C) เพื่อรักษาความเสถียรของ L-ascorbic acid หากไม่ได้เติมกลูต้าไธโอน ควรผสมในปริมาณที่ใช้หมดภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากเติมกลูต้าไธโอนและเก็บในตู้เย็น จะสามารถยืดอายุการใช้งานได้นานหลายเดือน
โปรดจำไว้ว่า Vitamin C (L-ascorbic acid) เป็นรูปแบบวิตามินซีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ก็มีความเสถียรต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับอนุพันธ์วิตามินซีอื่นๆ การรักษาค่า pH ที่เหมาะสม (ควรอยู่ระหว่าง 2.0-4.0 แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 3.5 สำหรับเครื่องสำอางที่ใช้กับผิว) และการจัดเก็บที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งาน
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)

Glycerin (USP/Food Grade)
