การผสมสารออกฤทธิ์ในเครื่องสำอางเดิม และการทำสูตรวิตามินซี
คำถาม
มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ใช้อยู่แล้ว ต้องการเพิ่มสารออกฤทธิ์เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ถ้ามีโลชั่นบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ Vitamin B3 และ E ในความเข้มข้นต่ำ (อยู่ในลำดับท้ายๆ) สามารถนำสารบำรุงอื่นๆ เช่น Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide), Hydro Protein (Soy, Oat, Wheat, Maize Protein), Vitamin E (Tocopheryl Acetate) มาใส่เพิ่มตามเปอร์เซ็นต์ที่เหมาะสมได้หรือไม่ สารที่ผสมเข้าไปใหม่จะสามารถเข้าไปบำรุงผิว/ผมได้หรือไม่
- ถ้าเป็นครีมหมักผม สามารถนำ Vitamin E (Tocopheryl Acetate) และ Pure Keratin™ มาผสมได้หรือไม่ สารที่ผสมเข้าไปใหม่จะสามารถเข้าไปบำรุงผมได้หรือไม่
- เกี่ยวกับวิตามินซี: ถ้าเรานำ Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard) 10% มาผสมกับน้ำที่เหลือ + Disodium EDTA 0.2% ของน้ำ แล้วนำมาใช้ต่อครั้ง สารจะสามารถเข้าไปบำรุงผิวได้หรือไม่ ถ้าผสมเป็นน้ำไม่ได้มีสารนำพา
- แล้วถ้านำวิตามินซีที่ผสมน้ำนี้มาใส่ Mask อัดเม็ด แล้วนำมามาร์กหน้า จะได้ผลกว่าทำเป็นน้ำเปล่าๆ หรือไม่
คำตอบ
การผสมสารกับครีมที่ใช้อยู่
สำหรับคำถามเกี่ยวกับการเติมส่วนผสมลงในโลชั่นบำรุงผิว ครีมหมักผม และการใช้วิตามินซี:
การเติมส่วนผสมลงในโลชั่น (Safe-B3™, Hydro Protein, Vitamin E): โดยทั่วไปแล้วสามารถทำได้ค่ะ ที่จะเติมสารบำรุงต่างๆ เช่น Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide), Hydro Protein และ Vitamin E (Tocopheryl Acetate) ลงในโลชั่นบำรุงผิวที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจสอบค่า pH ที่เหมาะสม ระหว่างส่วนผสมที่ต้องการเติมกับเบสโลชั่นเดิม เบสโลชั่นบางชนิดอาจไม่สามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงค่า pH ที่มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เสถียร เช่น เนื้อเหลวตัว หรือการแยกชั้นของน้ำและน้ำมันได้ค่ะ
การเติมส่วนผสมลงในครีมหมักผม (Vitamin E, Pure Keratin™): เช่นเดียวกันค่ะ สามารถเติม Vitamin E (Tocopheryl Acetate) และ Pure Keratin™ ลงในครีมหมักผมที่มีอยู่ได้ สิ่งสำคัญคือ การเข้ากันได้ของค่า pH เพื่อรักษาความคงตัวและเนื้อสัมผัสของครีมหมักผมค่ะ
สำหรับทั้งโลชั่นและครีมหมักผม ทางทีมงานแนะนำ วิธีทดสอบอย่างง่าย คือ การนำส่วนผสมที่ต้องการเติมมาทดลองผสมกับเบสผลิตภัณฑ์เดิมในปริมาณเล็กน้อยก่อน เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็แสดงว่าสามารถทำได้ค่ะ
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือ การใช้ส่วนประกอบเครื่องสำอางในระดับความเข้มข้นที่แนะนำ โดยผู้ผลิต หรือหน่วยงานกำกับดูแล (เช่น อย.) การใช้ในความเข้มข้นที่สูงเกินกว่าที่กำหนดอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติม และอาจเป็นอันตรายต่อผิวหรือเส้นผมได้ค่ะ
การใช้วิตามินซี (L-ascorbic acid) 10% ผสมน้ำและ Disodium EDTA: สามารถทำได้ค่ะที่จะผสม Vitamin C (L-ascorbic acid) 10% กับน้ำและ Disodium EDTA (0.2% ของน้ำ) เพื่อใช้ต่อครั้ง อย่างไรก็ตาม ทางทีมงานระบุว่า ประสิทธิภาพจะน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการใช้ในเบสที่เหมาะสมกว่า เช่น เนื้อครีม หรือเจล หรือสูตรที่มีสารนำพา (penetration enhancer) น้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้สารสำคัญซึมเข้าสู่ผิวได้ดีเท่าที่ควรค่ะ
การใช้วิตามินซีผสมกับ Mask อัดเม็ดเทียบกับการทำเป็นน้ำ: การนำส่วนผสมมาใช้กับ Mask อัดเม็ดอาจช่วยให้สารสัมผัสกับผิวได้นานขึ้น แต่ก็อาจไม่ได้ช่วยเพิ่มการซึมผ่านได้อย่างมีนัยสำคัญหากยังคงเป็นเบสน้ำ ทางทีมงานแนะนำให้ ทำเป็นเนื้อเจล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า แม้จะเป็นเจลเหลวๆ ก็ได้ โดยใช้สารสร้างเนื้อเจล เช่น Pro Polymer นอกจากนี้ การพิจารณาเติม สารนำพา (penetration enhancer) เช่น Ethoxydiglycol, PE-1 Aqua, หรือ Phospholipid ลงในสูตร จะช่วยเพิ่มการซึมผ่านและประสิทธิภาพโดยรวมของสารสำคัญอย่างวิตามินซีได้อย่างมากค่ะ
สำหรับสูตรวิตามินซี สามารถดูสูตรตัวอย่างที่สมาชิกท่านอื่นเคยแชร์ไว้ เช่น สูตร "Vitamin C E Ferulic" เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)

Ethoxydiglycol (e.q. Transcutol)

Disodium EDTA

Hydro Protein (Soy, Oat, Wheat, Maize Protein)

Pro Polymer™ (Gel Maker)

Pure Keratin™ (Natural, Australian Sheep Wool)

PE-1 Aqua
