การผสมเซรั่ม DIY ความเสถียร และความเข้ากันได้กับ L-Ascorbic Acid
คำถาม
รบกวนสอบถามการผสมเซรั่มน้ำตบไว้ใช้เอง
มีสารประกอบ ดังนี้ครับ
- Galactomyces Ferment Filtrate 90 กรัม
- Repair Activator 10 กรัม
โดยการนำ 2 ส่วนมาผสมในขวด แล้วใช้โดยตรงได้เลยหรือไม่ครับ
** เน้นการฟื้นฟูผิว ให้ผิวแข็งแรง เพื่อให้ผิวหน้าเรียบเนียนและสว่างใสครับ
ปล. สารข้างต้น สามารถใช้ร่วมกับเซรั่มที่เป็นส่วนผสมของ L-ascorbic acid ได้เลยหรือไม่ครับ
คำตอบ
คำแนะนำสำหรับการผสมเซรั่ม DIY
สำหรับแผนการผสม Galactomyces Ferment Filtrate (90 กรัม) และ Repair Activator (Bifida Ferment Lysate) (10 กรัม) เพื่อทำเซรั่ม/น้ำตบใช้เอง มีคำแนะนำดังนี้ครับ:
การผสมส่วนประกอบ: ใช่ครับ คุณสามารถผสมส่วนประกอบทั้งสองนี้เข้าด้วยกันได้ ทั้งสองชนิดสามารถละลายน้ำได้และสามารถนำมาผสมกันได้โดยตรง อัตราส่วนที่คุณเสนอมาอยู่ในช่วงอัตราการใช้ทั่วไปของส่วนประกอบทั้งสองชนิด
การใช้โดยตรงและความเสถียร: แม้ว่าจะผสมได้ แต่การนำส่วนประกอบสองชนิดนี้มาผสมกันโดยไม่มีระบบกันเสียที่เหมาะสม ไม่แนะนำสำหรับการใช้งานในระยะยาวครับ ส่วนผสมที่เป็นเบสด้วยน้ำมีแนวโน้มที่จะเกิดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้เมื่อเวลาผ่านไป แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ตาม เพื่อความปลอดภัยและความเสถียร การทำสูตรเครื่องสำอางที่สมบูรณ์มักจะรวมถึงสารกันเสียด้วย การใช้ส่วนผสมแบบง่ายๆ นี้โดยตรงอาจมีความเสี่ยงในด้านสุขอนามัยและความเสถียรของผลิตภัณฑ์ครับ
การใช้ร่วมกับเซรั่ม L-ascorbic acid: เซรั่ม L-ascorbic acid ต้องการค่า pH ที่ต่ำ (โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 2.0-4.0 และควรสูงกว่า 3.5 เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของ อย.) เพื่อให้คงตัวและมีประสิทธิภาพ Galactomyces Ferment Filtrate มีช่วงค่า pH 4-7 และ Repair Activator มีช่วงค่า pH 4-5.5 การผสมส่วนผสม Galactomyces/Repair Activator ของคุณกับเซรั่ม L-ascorbic acid อาจทำให้ค่า pH ของเซรั่ม L-ascorbic acid สูงขึ้น ซึ่งจะลดความเสถียรและประสิทธิภาพลงอย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว ควรใช้เซรั่ม L-ascorbic acid แยกจากผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH สูงกว่า คุณสามารถทาเซรั่ม L-ascorbic acid ก่อน รอให้ซึม แล้วจึงตามด้วยส่วนผสม Galactomyces/Repair Activator ของคุณครับ
ประโยชน์ต่อผิว: ส่วนประกอบที่คุณเลือกสอดคล้องกับเป้าหมายของคุณเป็นอย่างดี Galactomyces Ferment Filtrate เป็นที่รู้จักในด้านความสามารถในการฟื้นฟู ทำให้ผิวเรียบเนียน และให้ความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวมีเนื้อสัมผัสที่สม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น ส่วน Repair Activator (Bifida Ferment Lysate) เป็นที่ยอมรับในบทบาทของการสนับสนุนกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติของผิวและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ซึ่งช่วยให้ผิวแข็งแรงและทนทานมากขึ้นครับ
เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีความเสถียรมากขึ้น ควรพิจารณาการพัฒนาสูตรที่สมบูรณ์ซึ่งรวมถึงระบบกันเสียที่เหมาะสมด้วยครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
