การพัฒนาสูตรครีม/โทนเนอร์ผิวขาวใส ด้วยวิตามิน B3, C, NAG: ปัญหาความเข้ากันได้และความเสถียร

ถามโดย: sirima17 เมื่อ: July 24, 2014 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

ต้องการพัฒนาสูตรครีมและโทนเนอร์สำหรับผิวขาวใส โดยใช้ส่วนผสมดังนี้:

  • วิตามินบี3 (Niacinamide)
  • NAG (N-Acetyl Glucosamine)
  • วิตามินซี
  • น้ำกลั่น

ขอคำแนะนำเกี่ยวกับ:

  1. วิธีการผสมส่วนผสมเหล่านี้เข้าด้วยกันสำหรับทั้งสูตรโทนเนอร์และสูตรครีม
  2. มีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้หรือความเสถียรหรือไม่เมื่อผสมส่วนผสมเหล่านี้ โดยเฉพาะวิตามินบี3 และวิตามินซี
  3. จะสามารถทำให้ผิวดูอมชมพูได้ด้วยสูตรนี้หรือไม่

คำตอบ

การเตรียมครีมบำรุงและโทนเนอร์เพื่อผิวขาวใส

จากส่วนผสมที่คุณสนใจได้แก่ วิตามินบี3 (Niacinamide), NAG (N-Acetyl Glucosamine), วิตามินซี และน้ำกลั่น สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม การผสมส่วนผสมเหล่านี้เข้าด้วยกันโดยเฉพาะวิตามินซี มีข้อควรพิจารณาเรื่องความเข้ากันได้และความเสถียรค่อนข้างมากค่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมหลัก:

  • วิตามินบี3 (Niacinamide): มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งช่วยลดเลือนจุดด่างดำ รอยแดง เสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ลดความมัน และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น สามารถใช้ได้ในความเข้มข้น 1-10% (แนะนำ 5%) ละลายได้ในน้ำ ทนความร้อนได้ดีพอสมควร แต่ไม่ควรใช้ความร้อนนานเกินไป และค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 4.0-7.0 มีหลายเกรด เช่น Safe-B3™ และ Extreme-B3™ ซึ่งเป็นเกรดที่มีความบริสุทธิ์สูง ลดโอกาสการเกิดอาการร้อนแดง (Flushing) ได้ดีกว่าเกรดทั่วไป
  • NAG (N-Acetyl Glucosamine): เป็นอีกหนึ่งส่วนผสมที่ช่วยเรื่องความกระจ่างใส เมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide จะเสริมประสิทธิภาพกันได้ดี อย่างไรก็ตาม จากการค้นหา ไม่พบผลิตภัณฑ์ NAG ในฐานข้อมูลของเราในขณะนี้ แต่หากคุณมีส่วนผสมนี้ สามารถนำมาผสมในสูตรได้ค่ะ
  • วิตามินซี: มีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีความเสถียร การละลาย และช่วง pH ที่เหมาะสมต่างกันไปค่ะ วิตามินซีช่วยเรื่องความกระจ่างใส ต่อต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

ข้อควรพิจารณาในการผสม:

  • ความเข้ากันได้ (Compatibility): การผสมวิตามินบี3 กับวิตามินซีบางรูปแบบอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องความเสถียรและประสิทธิภาพได้ค่ะ

    • วิตามินซีรูปแบบ L-Ascorbic Acid ต้องการค่า pH ที่ต่ำมาก (ประมาณ 2.0-4.0) เพื่อความเสถียร ซึ่งอาจทำให้วิตามินบี3 เปลี่ยนสภาพเป็น Niacin และก่อให้เกิดอาการร้อนแดงบนผิวได้
    • วิตามินซีรูปแบบ Ascorbyl Glucoside (AA-2G) ต้องการค่า pH ประมาณ 6.5-6.8 และไม่ควรใช้ร่วมกับ Safe-B3™ (วิตามินบี3) ตามข้อมูลผลิตภัณฑ์
    • วิตามินซีรูปแบบ Ethyl Ascorbic Acid ต้องการค่า pH 3.5-6.0 และไม่ควรใช้ร่วมกับวิตามินบี3 ตามข้อมูลผลิตภัณฑ์
    • วิตามินซีรูปแบบ Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) ต้องการค่า pH 7-9 ซึ่งแตกต่างจากช่วง pH ที่เหมาะสมของวิตามินบี3
    • ดังนั้น การผสมวิตามินบี3 กับวิตามินซีในสูตรเดียวกันโดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น อาจทำได้ยากเพื่อให้สูตรมีความเสถียรและมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ อาจต้องพิจารณาเลือกใช้ส่วนผสมใดส่วนผสมหนึ่งก่อน หรือใช้รูปแบบวิตามินซีที่มีคำแนะนำว่าสามารถใช้ร่วมกับ Niacinamide ได้อย่างชัดเจนและต้องควบคุมค่า pH อย่างระมัดระวัง
  • การผสมโดยไม่ใช้น้ำร้อน: ส่วนผสมที่คุณกล่าวมาส่วนใหญ่สามารถละลายในน้ำกลั่นได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำร้อน ซึ่งเหมาะกับการทำผลิตภัณฑ์ประเภทโทนเนอร์หรือเซรั่มเนื้อน้ำใสๆ ค่ะ แต่หากต้องการทำเป็นเนื้อครีม จะต้องมีส่วนผสมของกลุ่มน้ำมันและสารประสานเนื้อครีม (Emulsifier) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วกระบวนการทำครีมมักจะต้องใช้ความร้อนในการผสมเฟสน้ำและเฟสน้ำมันเข้าด้วยกันค่ะ

  • ผิวขาวใสอมชมพู: ตามคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ในกระทู้เดิม สีผิวที่ดูอมชมพูมักจะมาจากสีของผลิตภัณฑ์เอง เช่น การใช้สีสำหรับเครื่องสำอางอย่าง Mica หรือ Iron Oxides ซึ่งสีจะหายไปเมื่อล้างออก ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสีผิวที่เกิดจากสารบำรุงผิวค่ะ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าทำให้ผิวเป็นสีชมพูถาวรโดยไม่ได้มาจากสีของเนื้อครีมโดยตรง เนื่องจากอาจมีส่วนผสมที่ไม่ปลอดภัยและไม่ได้รับอนุญาตจาก อย.

คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น:

เนื่องจากคุณยังไม่เคยลองทำมาก่อน และการผสมวิตามินบี3 กับวิตามินซีมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้และ pH ที่ซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้เริ่มต้นจากสูตรที่ง่ายขึ้นก่อนค่ะ

ตัวอย่างแนวคิดสูตรโทนเนอร์/เซรั่มอย่างง่าย (เน้นวิตามินบี3):

  1. เตรียมเฟสน้ำ: ใช้น้ำกลั่นเป็นส่วนประกอบหลัก
  2. ละลายวิตามินบี3: ค่อยๆ เติมผงวิตามินบี3 (เช่น Safe-B3™ หรือ Extreme-B3™) ลงในน้ำกลั่น คนหรือใช้เครื่องกวนให้ละลายจนหมด (ตามอัตราส่วนที่แนะนำ เช่น 5%)
  3. เพิ่มส่วนผสมอื่นๆ (ถ้ามีและเข้ากันได้): หากมี NAG และต้องการเพิ่ม สามารถละลาย NAG ในน้ำกลั่นก่อนหรือพร้อมกับวิตามินบี3 ได้
  4. ปรับ pH (ถ้าจำเป็น): สำหรับวิตามินบี3 ค่า pH 4.0-7.0 เหมาะสมที่สุด หากต้องการความแม่นยำ ควรใช้กระดาษวัด pH หรือเครื่องวัด pH เพื่อตรวจสอบและปรับให้อยู่ในค่าที่ต้องการ (อาจใช้สารปรับ pH ที่เหมาะสมสำหรับเครื่องสำอาง)
  5. เติมสารกันเสีย: การทำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำจำเป็นต้องใส่สารกันเสียเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ เลือกใช้สารกันเสียที่เหมาะสมและใช้ในอัตราส่วนที่แนะนำ
  6. บรรจุ: บรรจุลงในภาชนะที่สะอาด

หมายเหตุ:

  • การทำสูตรที่มีวิตามินซีร่วมด้วยโดยเฉพาะ L-Ascorbic Acid หรือรูปแบบอื่นๆ ที่ระบุว่าไม่เข้ากับ B3 จะต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างละเอียด หรือเลือกใช้เบสสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมเหล่านี้อยู่แล้วเพื่อให้มั่นใจในความเสถียร
  • หากต้องการเนื้อครีมจริงๆ จะต้องเรียนรู้วิธีการทำ Emulsion ซึ่งจะมีความซับซ้อนกว่าการทำโทนเนอร์หรือเซรั่มเนื้อน้ำค่ะ

การเริ่มต้นจากการทำโทนเนอร์หรือเซรั่มวิตามินบี3 อย่างง่ายจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับกระบวนการและคุณสมบัติของส่วนผสมต่างๆ ก่อนที่จะลองทำสูตรที่ซับซ้อนขึ้นค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
เครื่องสำอาง
Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)
Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)
เครื่องสำอาง
Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin C SAP, e.q. Stay C50)
Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin C SAP, e.q. Stay C50)
เครื่องสำอาง
Extreme-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide, Highest Purity)
Extreme-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide, Highest Purity)
เครื่องสำอาง