การพัฒนาสูตรเซรั่มที่มี Hyaluronic Acid และสารสกัดจากการหมัก: สารกันเสีย สารนำพา และความคงตัว

ถามโดย: chakapoo เมื่อ: August 27, 2019 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

ผมสนใจอยากได้สารบำรุงหลักเป็น 4D Hyaluronic 5% / Repair Activator 10% และ Galactomyces

จึงมีข้อสงสัยดังนี้

  • สารกันเสีย พิจารณาเป็น Mild Preserved Eco™ 1 % เพียงพอแล้วหรือไม่ครับ
  • สารนำพาเยอะเกินความต้องการหรือไม่ หากเราใช้ DMI / 1-2 Hexandiol / Lauropram/ Phospholipid ร่วมกันทั้งหมด
  • จากสารบำรุงหลักดังกล่าว ควรเพิ่มสารใดเพื่อคงคุณภาพสาร ป้องการการเสื่อมสภาพสาร ด้วยหรือไม่

คำตอบ

สวัสดีครับ

ขอบคุณสำหรับคำถามครับ เกี่ยวกับการพัฒนาสูตรที่คุณสนใจโดยใช้ 4D Hyaluronic Acid, Repair Activator (Bifida Ferment Lysate) และ Galactomyces Ferment Filtrate มีข้อควรพิจารณาสำหรับคำถามของคุณดังนี้ครับ

  • สารกันเสีย (Mild Preserved Eco™ 1%): Mild Preserved Eco™ (Ethylhexylglycerin & Caprylyl Glycol) เป็นสารกันเสียที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ความเข้มข้น 1% มักจะเพียงพอ แต่ประสิทธิภาพอาจขึ้นอยู่กับส่วนประกอบโดยรวมของสูตร ค่า pH และการมีอยู่ของส่วนผสมอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ สำหรับสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักและมีสารออกฤทธิ์หลายชนิด เช่น สารที่ได้จากการหมัก (fermentation products) จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแน่ใจว่าระบบสารกันเสียมีความแข็งแรง แม้ว่า 1% อาจจะ เพียงพอ แต่ขอแนะนำอย่างยิ่งให้ปฏิบัติตามอัตราการใช้ที่ผู้จำหน่ายแนะนำ และควรทำการทดสอบความท้าทายทางจุลชีววิทยา (microbial challenge testing) กับสูตรสำเร็จของคุณเพื่อยืนยันประสิทธิภาพ
  • สารนำพา (DMI, 1-2 Hexanediol, Lauropram, Phospholipid): การใช้สารนำพาหลายชนิดร่วมกันสามารถช่วยเพิ่มการนำพาสารออกฤทธิ์เข้าสู่ผิวได้จริง อย่างไรก็ตาม การใช้สารนำพาหลายประเภทพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความเข้มข้นสูง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว การแพ้ และการรบกวนเกราะป้องกันผิว DMI และ 1,2-Hexanediol เป็นสารนำพา/ตัวทำละลายที่พบได้ทั่วไป ในขณะที่ Lauropram (Lauryl PCA) และ Phospholipids (เช่น Hydrogenated Lecithin) ทำงานแตกต่างกัน (Lauropram เป็นตัวทำละลาย/สารนำพา, Phospholipids มักใช้ในระบบนำส่ง เช่น ไลโปโซม หรือเป็นสารช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว) การใช้ทั้งสี่ชนิดร่วมกันอาจมากเกินไปและอาจส่งผลเสียต่อความเข้ากันได้กับผิว (skin compatibility) โดยทั่วไป ควรเริ่มต้นด้วยสารนำพาที่เลือกมาอย่างดีหนึ่งหรือสองชนิดในความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพ และประเมินประสิทธิภาพและความรู้สึกบนผิวก่อนที่จะเพิ่มชนิดอื่น พิจารณาคุณสมบัติเฉพาะของสารนำพาแต่ละชนิด และวิธีที่พวกมันมีปฏิสัมพันธ์กับสารออกฤทธิ์ของคุณและส่วนประกอบอื่นๆ ในสูตร
  • ความคงตัวของสาร (Ingredient Stability): เพื่อรักษาคุณภาพและป้องกันการเสื่อมสภาพของสารออกฤทธิ์หลักของคุณ:
    • สารที่ได้จากการหมัก (Repair Activator, Galactomyces): สารเหล่านี้ไวต่อความร้อน แสง และการเกิดออกซิเดชัน การเก็บผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปในบรรจุภัณฑ์ทึบแสงหรือสีชาสามารถช่วยป้องกันแสงได้ การเติมสารต้านอนุมูลอิสระ (เช่น Vitamin E หรือ Ferulic Acid) สามารถช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันได้ สารคีเลต (เช่น Disodium EDTA หรือ Tetrasodium EDTA) สามารถจับกับไอออนของโลหะที่อาจเร่งปฏิกิริยาการเสื่อมสภาพได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้น้ำประปา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าค่า pH ของสูตรสำเร็จของคุณอยู่ในช่วงที่เหมาะสมสำหรับความคงตัวและประสิทธิภาพของส่วนผสมเหล่านี้ (โดยทั่วไปคือกรดอ่อนๆ ถึงเป็นกลาง แต่ควรตรวจสอบข้อมูลจำเพาะจากผู้จำหน่าย)

ควรทำการทดสอบความคงตัว (เช่น การทดสอบเร่งอายุ - accelerated aging tests) กับสูตรสำเร็จของคุณเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าส่วนผสมยังคงมีความคงตัวและมีประสิทธิภาพเมื่อเวลาผ่านไปภายใต้สภาวะต่างๆ

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาสูตรของคุณนะครับ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Galactomyces Ferment Filtrate (aka Pitera)
Galactomyces Ferment Filtrate (aka Pitera)
เครื่องสำอาง
Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free)
Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free)
เครื่องสำอาง
Phospholipid
Phospholipid
เครื่องสำอาง
4D Hyaluronic Acid
4D Hyaluronic Acid
เครื่องสำอาง