การพัฒนาสูตรเซรั่มวิตามินซี อี เฟอรูลิก: การเปลี่ยนส่วนผสม เนื้อสัมผัส และค่า pH

ถามโดย: choten56 เมื่อ: October 04, 2013 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

จากสูตรของฉัน (ที่มี L-Ascorbic Acid, Vitamin E, Ferulic Acid และอื่นๆ) ฉันมีคำถามดังนี้:

  • สามารถเพิ่ม Lactic Acid ได้หรือไม่ และจะส่งผลต่อสูตรอย่างไร โดยเฉพาะค่า pH และการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น?
  • สามารถใช้วิตามินอี อะซิเตท (Vitamin E Acetate) แทน ดี-อัลฟ่า โทโคฟีรอล (d-alpha tocopherol) ได้หรือไม่? ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพการต้านอนุมูลอิสระและความใสของสูตรเป็นอย่างไร?
  • หากใช้ Xanthan Gum ที่ 1% จะได้เนื้อสัมผัสเป็นเจลเหลวหรือเจลข้น? ควรปรับลด/เพิ่มปริมาณอย่างไรหากต้องการความข้นต่างจากเดิม? ควรผสม Xanthan Gum อย่างไร?
  • มีขั้นตอนการผสมที่สำคัญอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการละลายส่วนผสมอย่าง Ferulic Acid?
  • ควรปรับค่า pH ในขั้นตอนใด และช่วงค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับสูตรประเภทนี้คือเท่าใด โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและข้อกำหนด อย. (pH >= 3.5)?

คำตอบ

ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสูตร

จากสูตรของคุณและข้อเสนอแนะที่ได้รับ:

  • ความเป็นไปได้ของสูตร: สูตรนี้โดยทั่วไปสามารถใช้ได้ แต่โปรดทราบว่าการรวม L-Ascorbic Acid และ Lactic Acid อาจทำให้ค่า pH ต่ำ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวได้
  • Lactic Acid: สามารถเพิ่ม Lactic Acid ได้ แต่จะทำให้ค่า pH ต่ำลงอีกและเพิ่มโอกาสในการระคายเคือง Lactic Acid ใช้สำหรับการผลัดเซลล์ผิวและให้ความชุ่มชื้น แต่ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับค่า pH ซึ่งควรอยู่ที่ต่ำกว่า 4.0
  • Vitamin E: คุณ ต้อง เปลี่ยน Vitamin E Acetate เป็น d-alpha tocopherol แทน Vitamin E Acetate มีความบริสุทธิ์ต่ำกว่าและมีแนวโน้มที่จะทำให้สูตรของคุณขุ่น ที่สำคัญกว่านั้น d-alpha tocopherol เป็นวิตามินอีคุณภาพสูงสุดที่มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในสูตรประเภทนี้ ในขณะที่ประสิทธิภาพของ Vitamin E Acetate สำหรับวัตถุประสงค์นี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่า
  • Xanthan Gum: การใช้ Xanthan Gum ที่ 1% จะได้เนื้อเจลที่ข้น ไม่ใช่เจลเหลว หากต้องการความข้นที่แตกต่างกัน ให้ปรับลดหรือเพิ่มปริมาณ Xanthan Gum ทำหน้าที่เป็นสารเพิ่มความหนืดและสามารถผสมในส่วนของน้ำได้
  • ขั้นตอนการผสม: สิ่งสำคัญคือต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการผสมต้นฉบับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการละลายส่วนผสมบางอย่าง เช่น Ferulic Acid ซึ่งโดยทั่วไปต้องใช้ตัวทำละลาย เช่น Ethoxydiglycol Ferulic Acid เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพซึ่งทำงานร่วมกับ Vitamin C และ E ได้ดี
  • การปรับค่า pH: คุณสามารถปรับค่า pH ของสูตรได้ในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากผสมส่วนผสมทั้งหมดแล้ว สำหรับสูตร L-Ascorbic Acid ค่า pH ที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพควรอยู่ระหว่าง 2.0-4.0 แต่ข้อกำหนดของ อย. กำหนดให้เครื่องสำอางที่ใช้ทาผิวต้องมีค่า pH อย่างน้อย 3.5

สรุปคือ การเปลี่ยนแปลงหลักที่จำเป็นคือการเปลี่ยน Vitamin E Acetate เป็น d-alpha tocopherol โปรดระวังความเป็นไปได้ที่จะเกิดการระคายเคืองเนื่องจากค่า pH ที่ต่ำจาก L-Ascorbic Acid และ Lactic Acid.

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง