การพัฒนาสูตรเซรั่มเนื้อบางเบาสำหรับผิวสีไม่สม่ำเสมอด้วย Niacinamide และ Vitamin C
คำถาม
ต้องการพัฒนาสูตรเซรั่มสำหรับปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะ โดยใช้ส่วนผสมอย่าง Niacinamide และ Vitamin C
- การใช้
Ethoxydiglycol
เป็น skin carrier แทนPropylene Glycol
จะช่วยให้เนื้อสัมผัสบางเบา ความหนืดน้อยกว่าหรือไม่? - ควรผสมส่วนผสมอะไรก่อนหลัง และในอัตราส่วนเท่าใด?
- เคยอ่านมาว่าการใช้
Niacinamide
ร่วมกับVitamin C
(กลุ่มl-ascorbic acid
) จะทำให้เกิดNiacin
ซึ่งเป็นพิษต่อผิวหนัง อย่างนี้จะสามารถทาสูตรเซรั่มตัวนี้ แล้วตามด้วยครีมVitamin C
กลุ่มl-ascorbic acid
ได้หรือไม่?
คำตอบ
คำแนะนำการทำเซรั่มสำหรับปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
สำหรับคำถามของคุณเกี่ยวกับการทำเซรั่มเนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะ เพื่อปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยใช้ส่วนผสมอย่าง Niacinamide และ Vitamin C:
สูตรเทียบกับรายการส่วนผสม: ตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ รายการที่คุณให้มาเป็นเพียงส่วนผสม ไม่ใช่สูตรที่สมบูรณ์ หากต้องการคำแนะนำที่เจาะจงเรื่องลำดับการผสมและอัตราส่วน คุณจำเป็นต้องแจ้งสูตรที่สมบูรณ์พร้อมระบุเปอร์เซ็นต์ของส่วนผสมแต่ละตัวที่คุณต้องการใช้ ลำดับและวิธีการผสมขึ้นอยู่กับความสามารถในการละลายและความเข้ากันได้ของส่วนประกอบทั้งหมดในสูตรของคุณโดยเฉพาะ
Ethoxydiglycol เทียบกับ Propylene Glycol ในฐานะตัวพา: ใช่ การใช้ Ethoxydiglycol เป็นตัวพาแทน Propylene Glycol โดยทั่วไปจะช่วยให้ได้เนื้อสัมผัสที่บางเบาและเหนอะหนะน้อยกว่า Ethoxydiglycol มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการซึมผ่านของสารออกฤทธิ์เข้าสู่ผิว และให้ความรู้สึกที่บางเบากว่าเมื่อเทียบกับ Propylene Glycol ในหลายๆ สูตร Propylene Glycol เป็นตัวทำละลายและสารให้ความชุ่มชื้นที่ดี แต่บางครั้งอาจให้ความรู้สึกหนักหรือเหนอะหนะเล็กน้อยขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและสูตรโดยรวม
ลำดับการผสมและอัตราส่วน: ดังที่กล่าวในข้อ 1 การให้คำแนะนำที่แม่นยำต้องใช้สูตรที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม หลักการทั่วไปคือการละลายส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ (เช่น Niacinamide) ในส่วนของน้ำ และส่วนผสมที่ละลายในน้ำมัน (ถ้ามี) ในส่วนของน้ำมัน สารออกฤทธิ์อย่าง L-Ascorbic Acid มักจะถูกเติมในขั้นตอนสุดท้ายที่อุณหภูมิต่ำลง และต้องมีการปรับค่า pH อย่างระมัดระวัง (โดยทั่วไปเป็นกรด อยู่ระหว่าง 2.0-4.0 แต่ อย. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ทาทิ้งไว้บนผิวต้องมี pH อย่างน้อย 3.5) เพื่อความคงตัวและประสิทธิภาพ Niacinamide มีความคงตัวที่ดีกว่าที่ pH สูงกว่า (3-8, เหมาะสมที่สุด 4.0-7.0)
การทา Niacinamide และ L-Ascorbic Acid แบบแยกกัน: ข้อกังวลเกี่ยวกับการก่อตัวของ Niacin เมื่อผสม Niacinamide และ L-Ascorbic Acid นั้นเกี่ยวข้องกับการนำมาผสมรวมกันในผลิตภัณฑ์เดียวกันเป็นหลัก โดยเฉพาะที่ค่า pH และสภาวะการเก็บรักษาบางอย่าง การทาเซรั่มที่มี Niacinamide ตามด้วยครีมที่มี L-Ascorbic Acid (หรือสลับกัน) โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ การเกิดปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นจะลดลงอย่างมากเมื่อส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่แยกกันและทาลงบนผิวทีละชั้น
ความถี่ในการทา Vitamin C: แม้ว่างานวิจัยบางชิ้นจะใช้การทา Vitamin C (L-Ascorbic Acid) วันละสองครั้ง แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพเพียงวันละครั้งก็สามารถให้ประโยชน์ที่สำคัญได้ การใช้เซรั่ม Niacinamide ในตอนเช้าและครีม L-Ascorbic Acid ในตอนกลางคืนเป็นวิธีที่ถูกต้องและมักแนะนำ วิธีนี้ช่วยให้การทาเป็นไปอย่างง่ายขึ้นและมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับประโยชน์จากส่วนผสมทั้งสองโดยไม่ต้องกังวลเรื่องปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นภายในผลิตภัณฑ์เดียวกัน ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการปรับสีผิวให้ดีขึ้น
ประโยชน์ของส่วนผสม:
- Niacinamide (วิตามินบี 3): เป็นที่รู้จักในด้านความสามารถในการลดรอยดำรอยแดง เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดความมัน และปรับปรุงเนื้อผิวและริ้วรอยเล็กๆ Niacinamide เกรดความบริสุทธิ์สูง เช่น Safe-B3™ และ Extreme-B3™ ถูกออกแบบมาเพื่อลดอาการแดงหรือระคายเคือง
- L-Ascorbic Acid (วิตามินซี): สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปรับสีผิวให้กระจ่างใส ลดจุดด่างดำ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และปกป้องผิวจากความเสียหายจากสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ pH ต่ำ แต่มีความคงตัวในสูตรน้ำน้อยกว่าอนุพันธ์วิตามินซีบางชนิด
- Ethoxydiglycol: ทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายและตัวพา ช่วยละลายส่วนผสมและเพิ่มการซึมผ่านเข้าสู่ผิว ซึ่งมักจะทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่บางเบา
- Propylene Glycol: ทำหน้าที่เป็นตัวทำละลาย สารให้ความชุ่มชื้น และช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัสและความคงตัวของสูตร
หากต้องการคำแนะนำการทำสูตรที่เจาะจงมากขึ้น โปรดแจ้งสูตรที่สมบูรณ์พร้อมระบุเปอร์เซ็นต์ของส่วนผสมทั้งหมดที่คุณต้องการใช้
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Ethoxydiglycol (e.q. Transcutol)

Propylene Glycol
