การพัฒนาสูตรโลชั่นน้ำหอมเนื้อบางเบาให้กลิ่นติดทนนาน

ถามโดย: kwanchai01 เมื่อ: February 27, 2018 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

ต้องการพัฒนาสูตร โลชั่นน้ำหอมเนื้อบางเบา ที่ให้ กลิ่นหอมติดทนนาน เข้าใจว่าโลชั่นที่เน้นความติดทนของกลิ่นมักจะมีเนื้อที่หนักกว่า อยากทราบว่ามีส่วนผสมและเทคนิคการขึ้นสูตรอย่างไรบ้าง ที่จะช่วยให้ได้เนื้อสัมผัสที่บางเบา แต่ยังคงประสิทธิภาพในการทำให้กลิ่นหอมติดอยู่บนผิวได้นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของ Fragrance Fixatives (เช่น Last Fix, Sugar Fix) และ Wax ในสูตร และควรใช้ในปริมาณเท่าใดเพื่อรักษาสมดุลระหว่างความติดทนของกลิ่นกับเนื้อสัมผัส?

คำตอบ

การทำโลชั่นน้ำหอมเนื้อบางเบา

การสร้างโลชั่นน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกบางเบาและมีกลิ่นหอมติดทนนานได้นั้นอาจจะต้องอาศัยความสมดุล เนื่องจากโลชั่นที่ออกแบบมาเพื่อให้กลิ่นติดทนนานมักจะมีเนื้อสัมผัสที่เคลือบผิวได้ดี ซึ่งอาจจะรู้สึกหนักกว่าโลชั่นที่เน้นการซึมซาบเร็ว อย่างไรก็ตาม คุณสามารถทำเบสโลชั่นที่บางเบาและเพิ่มส่วนผสมที่ช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนานได้

นี่คือส่วนประกอบหลักและประเภทของส่วนผสมสำหรับโลชั่นเนื้อบางเบาที่ช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนานขึ้น:

ส่วนผสมพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับโลชั่น

  • ส่วนของน้ำ (Water Phase): เป็นส่วนประกอบหลัก
    • น้ำ (Purified Water)
    • สารให้ความชุ่มชื้น (Humectants): ส่วนผสมที่ช่วยดึงและกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว ทำให้ผิวรู้สึกชุ่มชื้น ตัวอย่างเช่น Glycerin หรือ Propanediol
  • ส่วนของน้ำมัน (Oil Phase): ช่วยให้ผิวนุ่มลื่นและสร้างโครงสร้างของโลชั่น สำหรับเนื้อบางเบา ให้เลือกใช้:
    • น้ำมัน/สารบำรุงที่บางเบา (Lightweight Oils/Emollients): น้ำมันหรือเอสเทอร์ที่ซึมซาบเร็วและไม่ทิ้งความเหนอะหนะ ตัวอย่างเช่น Caprylic/Capric Triglyceride, Squalane (Olive) หรือ Fractionated Coconut Oil
  • สารประสานเนื้อ (Emulsifier): ช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อโลชั่น เลือกชนิดที่ให้เนื้อสัมผัสบางเบา เช่น Olivem 1000 (Cetearyl Olivate, Sorbitan Olivate)

ส่วนผสมที่ช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนาน

เพื่อให้กลิ่นน้ำหอมติดทนนานขึ้น ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แนะนำ คุณสามารถพิจารณาใช้:

  • สารตรึงกลิ่น (Fragrance Fixatives): ส่วนผสมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยยึดเกาะกลิ่นหอมไว้บนผิว ตัวอย่างที่นิยมกล่าวถึงได้แก่ Last Fix หรือ Sugar Fix ข้อควรระวัง: การใช้สารตรึงกลิ่นในปริมาณสูงอาจทำให้เนื้อโลชั่นเหนอะหนะได้ จึงควรทดสอบปริมาณที่เหมาะสม
  • แวกซ์ (Waxes): การเพิ่มแวกซ์บางชนิดสามารถช่วยสร้างฟิล์มเคลือบบนผิวเพื่อกักเก็บกลิ่นหอมได้ ตัวเลือกที่ให้ความรู้สึกบางเบาอาจลองใช้ Glossy Wax (Light, Non-Greasiness) แต่ปริมาณที่ใช้จะส่งผลต่อเนื้อสัมผัสเช่นกัน

คำแนะนำในการผสมโดยทั่วไป

  • ปริมาณ: ปริมาณที่แน่นอนของส่วนผสมแต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับเนื้อสัมผัสที่คุณต้องการและส่วนผสมเฉพาะที่คุณเลือกใช้น้ำมักจะเป็นส่วนประกอบที่มีปริมาณมากที่สุด (เช่น 60-80%) ส่วนของน้ำมันจะมีปริมาณน้อยกว่าครีมเนื้อหนัก (เช่น 10-20%) สารให้ความชุ่มชื้นมักจะใช้ประมาณ 2-5% น้ำหอมมักใช้ในปริมาณน้อย (เช่น 0.5-2%) ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกลิ่นและชนิดของน้ำหอม สารตรึงกลิ่นหรือแวกซ์ที่ช่วยให้กลิ่นติดทนนานควรค่อยๆ เพิ่มทีละน้อย เริ่มจากปริมาณต่ำๆ (เช่น 0.5-1%) และทดสอบเนื้อสัมผัสและประสิทธิภาพของกลิ่น
  • สารกันเสีย (Preservative): ควรใส่สารกันเสียที่เหมาะสมตามปริมาณที่ผู้ผลิตแนะนำเสมอ เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์

การหาสมดุลที่ลงตัวระหว่างเนื้อสัมผัสที่บางเบาและกลิ่นหอมที่ติดทนนานอาจต้องอาศัยการทดลองปรับปริมาณสารตรึงกลิ่นหรือแวกซ์

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Squalane (Olive)
Squalane (Olive)
เครื่องสำอาง
Glycerin (USP/Food Grade)
Glycerin (USP/Food Grade)
เครื่องสำอาง
Fractionated Coconut Oil
Fractionated Coconut Oil
เครื่องสำอาง
Glossy Wax (Light, Non-Greasiness)
Glossy Wax (Light, Non-Greasiness)
เครื่องสำอาง
Propanediol (1,3-Propanediol) (e.q. Zemea)
Propanediol (1,3-Propanediol) (e.q. Zemea)
เครื่องสำอาง
Olivem 1000 (Cetearyl Olivate, Sorbitan Olivate)
Olivem 1000 (Cetearyl Olivate, Sorbitan Olivate)
เครื่องสำอาง
Caprylic/Capric Triglyceride (e.q. Myritol 318)
Caprylic/Capric Triglyceride (e.q. Myritol 318)
เครื่องสำอาง