การยืดอายุน้ำซาวข้าวหรือวิตามินบีสำหรับล้างหน้าและการแต่งกลิ่น

คำตอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านการคิดค้นสูตร

จากคำถามของคุณเกี่ยวกับการใช้น้ำซาวข้าวล้างหน้า การยืดอายุด้วยสารกันเสีย การใช้วิตามินบีแทนน้ำซาวข้าว และความเสถียรของวิตามินบีเมื่อใช้ร่วมกับสารกันเสีย ขอสรุปและให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ

การยืดอายุน้ำซาวข้าวด้วยสารกันเสีย

ตามที่ทีมงานได้แจ้งไปก่อนหน้านี้ การใช้น้ำซาวข้าวสดซึ่งมีปริมาณเชื้อจุลินทรีย์สูงมาก ทำให้ต้องใช้สารกันเสียในปริมาณที่สูงกว่าปกติมากเพื่อให้มีประสิทธิภาพเพียงพอ ซึ่งความเข้มข้นของสารกันเสียที่สูงเช่นนี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเป็นอันตรายต่อผิวได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้ค่ะ

การใช้วิตามินบีผสมน้ำกลั่นแทนน้ำซาวข้าว

ในส่วนของการนำวิตามินบีมาผสมกับน้ำกลั่นเพื่อใช้ล้างหน้าแทนน้ำซาวข้าว และถามว่าประโยชน์จะยังคงเดิมหรือไม่นั้น ทีมงานได้อธิบายไปแล้วว่า แม้วิตามินบีจะมีประโยชน์ต่อผิว แต่การใช้ในผลิตภัณฑ์ล้างหน้าซึ่งมีระยะเวลาสัมผัสผิวสั้นมาก ก่อนจะถูกล้างออกไป ทำให้ผิวดูดซึมสารสำคัญได้น้อยมาก ประโยชน์ที่ได้รับจึงไม่คุ้มค่าเท่ากับการใช้ในผลิตภัณฑ์แบบทาทิ้งไว้ เช่น เซรั่ม หรือครีม ที่ผิวมีเวลาดูดซึมสารสำคัญได้อย่างเต็มที่กว่าค่ะ

ความเสถียรของวิตามินบีเมื่อใช้ร่วมกับสารกันเสีย

สำหรับคำถามเรื่องความเสถียรของวิตามินบีเมื่อเติมสารกันเสียเพื่อยืดอายุนั้น ความเสถียรของวิตามินบีในสูตรผสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งชนิดของวิตามินบี ชนิดของสารกันเสียที่ใช้ ความเข้มข้นของทั้งสองสาร ค่า pH ของสูตร และสภาวะการเก็บรักษา (เช่น แสงแดด ความร้อน)

• วิตามินบี 3 (Niacinamide) เช่น Safe-B3™ สามารถละลายได้ดีในน้ำ และมีความเสถียรในช่วง pH กว้างประมาณ 3-8 (ดีที่สุดที่ 4.0-7.0) สามารถทนความร้อนได้ แต่ไม่ควรให้ความร้อนนานเกินไป
• วิตามินบี 5 (Panthenol) เช่น Panthenol หรือ D-Panthenol Care ก็ละลายน้ำได้ดี และมีความเสถียรในช่วง pH ประมาณ 3.5-7.0 สามารถทนความร้อนได้ในระยะเวลาสั้นๆ

สารกันเสียที่ใช้ในเครื่องสำอางส่วนใหญ่ออกแบบมาให้เข้ากันได้กับส่วนผสมทั่วไปในสูตรน้ำ รวมถึงวิตามินที่ละลายน้ำได้ ภายใต้เงื่อนไขการใช้งานที่แนะนำ (เช่น ช่วง pH ที่เหมาะสม อุณหภูมิ)

• สารกันเสียบางชนิด เช่น PE 1090 Preservative หรือ Mild Preserved™ COS สามารถทำงานได้ในหลากหลายช่วง pH ที่ครอบคลุมช่วง pH ที่เหมาะสมของวิตามินบี 3 และบี 5
• สารกันเสียบางชนิด เช่น NaturePreserve™ Ultra มีช่วง pH การทำงานที่แคบกว่า (3-6) แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับวิตามินบี อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังเฉพาะสำหรับ NaturePreserve™ Ultra คือไม่ควรใช้ร่วมกับ Vitamin C (L-Ascorbic Acid) แต่ไม่ได้ระบุถึงปัญหากับวิตามินบีโดยทั่วไป

ดังนั้น การผสมวิตามินบีกับน้ำกลั่นและเติมสารกันเสียเพื่อยืดอายุ สามารถทำได้ในแง่ของความเข้ากันได้ของส่วนผสม โดยเลือกชนิดของสารกันเสียที่เหมาะสมกับช่วง pH ที่ต้องการของสูตรวิตามินบี แต่ประเด็นสำคัญยังคงอยู่ที่ประสิทธิภาพของวิตามินบีในผลิตภัณฑ์ล้างหน้าซึ่งยังคงต่ำอยู่ตามที่ได้อธิบายไปค่ะ

การแต่งกลิ่นหอมอ่อนๆ

สำหรับการแต่งกลิ่นหอมอ่อนๆ สามารถทำได้โดยการเติม Fragrance Oil หรือ Essential Oil ที่เหมาะสำหรับใช้ในเครื่องสำอางลงในสูตรน้ำวิตามินบีและสารกันเสีย โดยใช้ในปริมาณน้อยๆ ตามคำแนะนำการใช้งานของกลิ่นนั้นๆ แต่การเติมกลิ่นไม่ได้ช่วยยืดอายุผลิตภัณฑ์แต่อย่างใดค่ะ

สรุป:

• ไม่แนะนำให้เติมสารกันเสียในน้ำซาวข้าวสดเพื่อใช้ล้างหน้า เนื่องจากต้องใช้ปริมาณสูงซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผิว
• การใช้วิตามินบีผสมน้ำกลั่นเพื่อล้างหน้าให้ประโยชน์ต่อผิวน้อยกว่าการใช้ในผลิตภัณฑ์แบบทาทิ้งไว้
• วิตามินบีส่วนใหญ่สามารถใช้ร่วมกับสารกันเสียทั่วไปในสูตรน้ำได้ โดยต้องพิจารณาช่วง pH ที่เหมาะสมของทั้งวิตามินและสารกันเสีย อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของวิตามินบีในผลิตภัณฑ์ล้างหน้ายังคงเป็นข้อจำกัดหลัก
• สามารถแต่งกลิ่นหอมในสูตรน้ำวิตามินบีและสารกันเสียได้ โดยเลือกใช้ Fragrance Oil หรือ Essential Oil ที่เหมาะสำหรับเครื่องสำอาง

หากต้องการดูแลผิวด้วยวิตามินบีอย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบทาทิ้งไว้ที่มีส่วนผสมของวิตามินบีแทนค่ะ