การหาอายุเครื่องสำอาง: วิธีง่าย, Stability Test และการแปลงค่าอุณหภูมิ
คำถาม
รบกวนสอบถามค่ะ มีวิธีการหาอายุของเครื่องสำอางอย่างไรค่ะ (วิธีอย่างง่าย) หรือทำ stability test แล้วนำมาคำนวณ?
เรามีวิธีการคำนวณอย่างไร ไว้ที่อุณหภูมิแตกต่างกัน 1 รอบ เท่ากับ กี่วัน/กี่เดือน ค่ะ
คำตอบ
สวัสดีค่ะ การหาอายุการเก็บรักษา (Shelf Life) ของเครื่องสำอางอย่างถูกต้องมักจะต้องอาศัยการทดสอบความเสถียร (Stability Test) ค่ะ
สำหรับคำถามของคุณเกี่ยวกับวิธีการอย่างง่ายและการคำนวณที่อุณหภูมิต่างกัน ขออธิบายดังนี้ค่ะ
วิธีการหาอายุของเครื่องสำอาง (วิธีอย่างง่าย) หรือทำ stability test แล้วนำมาคำนวณ
การทดสอบความเสถียร (Stability Test): นี่เป็นวิธีมาตรฐานและน่าเชื่อถือที่สุดในการกำหนดอายุการเก็บรักษา โดยทั่วไปจะมีการทดสอบ 2 แบบหลักคือ
- Real-time Stability Testing: เก็บผลิตภัณฑ์ไว้ที่สภาวะการเก็บรักษาปกติ (เช่น 25°C ± 2°C, ความชื้นสัมพัทธ์ 60% ± 5%) เป็นระยะเวลานานเท่ากับอายุการเก็บรักษาที่ต้องการ (เช่น 1 ปี, 2 ปี, 3 ปี) และตรวจประเมินคุณภาพเป็นระยะๆ วิธีนี้ให้ผลที่แม่นยำที่สุด แต่ใช้เวลานาน
- Accelerated Stability Testing: เก็บผลิตภัณฑ์ไว้ที่สภาวะเร่งสภาวะ (เช่น อุณหภูมิสูงขึ้น 40°C ± 2°C, ความชื้นสัมพัทธ์ 75% ± 5%) เป็นระยะเวลาสั้นลง (เช่น 3 เดือน, 6 เดือน) เพื่อเร่งให้เกิดการเสื่อมสภาพ การทดสอบแบบนี้ใช้เวลาสั้นกว่า และนำผลมา คาดการณ์ อายุการเก็บรักษาที่สภาวะปกติ
วิธีอย่างง่าย: หากไม่ทำการทดสอบความเสถียรอย่างเต็มรูปแบบ วิธีที่ "ง่าย" อาจเป็นการอ้างอิงจาก:
- ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ: ผู้ผลิตวัตถุดิบบางรายอาจมีข้อมูลความเสถียรของวัตถุดิบนั้นๆ
- ข้อมูลจากผลิตภัณฑ์ประเภทใกล้เคียง: อ้างอิงจากอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทเดียวกันที่มีสูตรคล้ายคลึงกันในตลาด
- แนวทางทั่วไปในอุตสาหกรรม: เครื่องสำอางส่วนใหญ่มักมีอายุการเก็บรักษาประมาณ 2-3 ปีหากยังไม่เปิดใช้ อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้เป็นเพียงการประมาณการและมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าการทดสอบจริง
วิธีการคำนวณไว้ที่อุณหภูมิแตกต่างกัน 1 รอบ เท่ากับ กี่วัน/กี่เดือน
ตรงนี้เป็นส่วนที่ซับซ้อนและ ไม่มีสูตรคำนวณแบบง่ายๆ ที่ใช้แปลงเวลาที่อุณหภูมิต่างกันได้โดยตรงและแม่นยำสำหรับทุกผลิตภัณฑ์ ค่ะ
- การคาดการณ์อายุการเก็บรักษาจาก Accelerated Stability Testing ไปยัง Real-time Conditions มักจะใช้หลักการทางจลนศาสตร์ (Kinetics) โดยเฉพาะ สมการ Arrhenius ซึ่งอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเกิดปฏิกิริยา (การเสื่อมสภาพ) กับอุณหภูมิ
- สมการ Arrhenius ไม่ได้ให้ค่าคงที่ว่า 1 เดือนที่อุณหภูมิสูงเท่ากับกี่เดือนที่อุณหภูมิต่ำเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับ ค่า Q10 ของปฏิกิริยาการเสื่อมสภาพนั้นๆ ซึ่งค่า Q10 คืออัตราส่วนของอัตราการเกิดปฏิกิริยาที่เพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 10°C ค่า Q10 นี้แตกต่างกันไปในแต่ละผลิตภัณฑ์และกลไกการเสื่อมสภาพ
- โดยทั่วไป ในอุตสาหกรรมยาหรือเครื่องสำอาง บางครั้งมีการใช้ กฎ Q10 โดยประมาณ เช่น สมมติว่าทุกๆ 10°C ที่เพิ่มขึ้น อัตราการเสื่อมสภาพจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า (Q10 = 2) หรือ 3 เท่า (Q10 = 3) แต่การสมมตินี้ไม่แม่นยำเสมอไป
- ตัวอย่างการใช้กฎ Q10 โดยประมาณ (ไม่ใช่วิธีคำนวณที่แม่นยำ): หากทดสอบที่ 40°C และต้องการคาดการณ์ที่ 25°C (ต่างกัน 15°C) หากสมมติ Q10=2 การเสื่อมสภาพที่ 40°C จะเร็วกว่าที่ 30°C ประมาณ 2 เท่า และเร็วกว่าที่ 20°C ประมาณ 4 เท่า การคำนวณที่แม่นยำต้องใช้สมการ Arrhenius และหาค่า Activation Energy (Ea) ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลจากการทดสอบที่อุณหภูมิอย่างน้อย 3 ระดับ
- ข้อควรจำ: การทดสอบแบบ Accelerated มีข้อจำกัด ไม่สามารถใช้ได้กับผลิตภัณฑ์ทุกชนิด โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีความเสถียรขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางกายภาพ (เช่น อิมัลชันที่อาจแยกชั้นที่อุณหภูมิสูง) หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารระเหยง่าย
สรุป:
- วิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดในการหาอายุการเก็บรักษาคือการทำ Stability Test ทั้งแบบ Real-time และ Accelerated
- ไม่มีสูตรคำนวณแบบง่ายๆ ที่ใช้แปลงเวลาที่อุณหภูมิต่างกันได้โดยตรง การคาดการณ์จาก Accelerated Test ไปยัง Real-time ต้องอาศัยหลักการทางจลนศาสตร์ (สมการ Arrhenius) ซึ่งไม่ใช่การคำนวณแบบ 1 รอบเท่ากับกี่วัน/กี่เดือนตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์
- การใช้ข้อมูลจากผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงหรือแนวทางทั่วไปเป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้นเท่านั้น
หวังว่าคำอธิบายนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ หากต้องการความแม่นยำในการกำหนดอายุการเก็บรักษา แนะนำให้ทำการทดสอบความเสถียรตามมาตรฐานค่ะ