การเติม Cyclomethicone เพื่อลดความเหนอะหนะในเซรั่ม
คำถาม
ฉันมีเซรั่มที่ผสมเสร็จแล้วรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ซึ่งอาจเกิดจาก Hyaluronic Acid (Standard Molecule) 0.5% สามารถเติม Cyclomethicone (เช่น Cyclopentasiloxane) ลงในเซรั่มที่ผสมเสร็จแล้วนี้เพื่อลดความเหนอะหนะได้หรือไม่?
ถ้าทำได้:
- ควรใส่กี่เปอร์เซ็นต์จึงจะเหมาะสม?
- การเติมสารตัวนี้จะทำให้ประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์เดิม (เช่น Vitamin B3, Panthenol, Glucosamine, Matrixyl 3000, Argireline, Hyaluronic Acid ทั้งสองชนิด) ลดลงหรือไม่?
คำตอบ
การปรับปรุงเซรั่มที่ผสมแล้วให้หายเหนอะหนะ
เข้าใจว่าคุณต้องการแก้ไขปัญหาเซรั่มที่ผสมเสร็จแล้วและรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ โดยไม่ต้องการผสมใหม่นะคะ ปัญหาความเหนอะหนะที่คุณพบนั้นมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดจาก Hyaluronic Acid ชนิด Standard Molecule ที่ใส่ในปริมาณ 0.5% ซึ่งอาจจะสูงเกินไปสำหรับความรู้สึกที่คุณต้องการค่ะ
สำหรับคำถามของคุณ มีคำตอบดังนี้ค่ะ
จะแก้ปัญหาโดยเติมสาร Cyclomethicone ได้ไหม?
- การเติม Cyclomethicone (เช่น Cyclopentasiloxane) ลงในเซรั่มที่ผสมเสร็จแล้ว สามารถทำได้ในทางทฤษฎี เพื่อช่วยลดความเหนอะหนะและเพิ่มความรู้สึกนุ่มลื่น เนื่องจาก Cyclomethicone เป็นซิลิโคนที่มีน้ำหนักเบาและระเหยได้รวดเร็ว
- อย่างไรก็ตาม การเติมสารลงในสูตรที่ผสมเสร็จแล้วนั้นมีความซับซ้อน มากกว่า การผสมตั้งแต่ต้นค่ะ เนื่องจากสูตรเดิมของคุณเป็นเซรั่มที่มีส่วนประกอบหลักเป็นน้ำ การเติม Cyclomethicone ซึ่งละลายได้ในซิลิโคน/น้ำมัน อาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันไม่ได้ของเนื้อผลิตภัณฑ์ (separation) ได้ หากไม่มีสารประสานเนื้อ (emulsifier) ที่เหมาะสมในปริมาณที่ถูกต้องค่ะ
ถ้าเติมได้ต้องใส่กี่ % จึงจะเหมาะสม และถ้าเติมสารตัวนี้แล้วประสิทธิภาพจะลดลงไหม?
- ปริมาณที่เหมาะสม: ไม่มีปริมาณที่ตายตัวสำหรับการเติม Cyclomethicone ลงในเซรั่มที่ผสมเสร็จแล้วค่ะ เนื่องจากต้องพิจารณาจากปริมาณเซรั่มที่เหลืออยู่ และระดับความเหนอะหนะที่คุณต้องการลดลง การทดลองเติมในปริมาณน้อยๆ กับเซรั่มส่วนหนึ่งก่อนจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ (เช่น เริ่มจาก 1-5% ของปริมาณเซรั่มที่เหลือ แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มหากต้องการ) แต่ต้องระลึกว่าอาจต้องใช้สารประสานเนื้อร่วมด้วย ซึ่งทำให้การปรับทำได้ยากในผลิตภัณฑ์ที่ผสมเสร็จแล้ว
- ประสิทธิภาพจะลดลงไหม: ประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์เดิมจะลดลงค่ะ เมื่อคุณเติม Cyclomethicone (หรือสารอื่นๆ) ลงไปในเซรั่มที่ผสมแล้ว ปริมาตรรวมของผลิตภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปริมาณสารออกฤทธิ์เดิม (เช่น Vitamin B3, Panthenol, Glucosamine, Matrixyl 3000, Argireline, Hyaluronic Acid ทั้งสองชนิด) ยังคงเท่าเดิม นั่นหมายความว่า ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ต่อปริมาตรของเซรั่มจะลดลง ดังนั้น ในการทาแต่ละครั้ง ผิวของคุณจะได้รับสารออกฤทธิ์ในปริมาณที่น้อยลงกว่าเดิมค่ะ
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม:
- เนื่องจากการปรับแก้สูตรที่ผสมเสร็จแล้วมีความท้าทายและอาจส่งผลต่อความคงตัวและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เดิม
- คุณอาจพิจารณาใช้เซรั่มที่ผสมไว้แล้วนี้เป็น Night Cream ตามที่เคยมีผู้แนะนำ ซึ่งความเหนอะหนะอาจไม่ใช่ปัญหาเท่าการใช้ในตอนกลางวันค่ะ
- สำหรับการผสมครั้งต่อไป หากต้องการเนื้อสัมผัสที่เบาและซึมไวขึ้น ควรปรับลดปริมาณ Hyaluronic Acid ชนิด Standard Molecule ลง และอาจพิจารณาเพิ่ม Cyclomethicone หรือสารให้ความรู้สึกบางเบาอื่นๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการคำนวณและผสมสูตรใหม่ค่ะ
สำหรับคำถามเกี่ยวกับการตอบหรือถามคำถามต่อจากหน้านี้บนเว็บบอร์ด โดยทั่วไปแล้ว คุณสามารถกดปุ่ม "ตอบ" หรือ "Reply" ที่อยู่ใต้ข้อความล่าสุดในกระทู้นั้นๆ เพื่อให้การสนทนาต่อเนื่องอยู่ในกระทู้เดียวกันค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)

Pal-GHK, Pal-GQPR (eq Matrixyl 3000)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Hyaluronic Acid (Standard Molecule)

Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)

Cyclopentasiloxane (Low-Odor Cyclomethicone)

Sepimax Zen

Caprylic/Capric Triglyceride (e.q. Myritol 318)
