การใช้และเพิ่มความเสถียรของผง L-Ascorbic Acid ในสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ

ถามโดย: rewat_j เมื่อ: February 21, 2017 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

เกี่ยวกับการใช้ผง L-ascorbic acid ในสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ:

  1. สามารถผสมผง L-ascorbic acid กับน้ำเปล่าแล้วทาผิวหน้าได้เลยหรือไม่?
  2. หากต้องการผสมผง L-ascorbic acid เข้ากับโทนเนอร์หรือเอสเซนส์สำเร็จรูปที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ต้องพิจารณาส่วนผสมอะไรบ้างที่ควรมีหรือควรหลีกเลี่ยงในโทนเนอร์หรือเอสเซนส์นั้น เพื่อให้สูตรมีความเสถียรและมีประสิทธิภาพ?

คำตอบ

การใช้ผง L-Ascorbic Acid ในสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ

สำหรับคำถามเกี่ยวกับการใช้ผง L-ascorbic acid:

  1. สามารถผสมผง L-ascorbic acid กับน้ำเปล่าแล้วทาผิวหน้าได้เลยหรือไม่?
    ไม่ควรผสมผง L-ascorbic acid กับน้ำเปล่าโดยตรงแล้วทาผิวหน้า เนื่องจาก L-ascorbic acid มีความไม่เสถียรสูงเมื่อละลายในน้ำ จะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ทำให้สูญเสียประสิทธิภาพ นี่คือข้อจำกัดหลักของ L-ascorbic acid ในสารละลายที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ

  2. หากผสมเข้ากับโทนเนอร์หรือเอสเซนส์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบแล้ว ต้องดูส่วนผสมอะไรอีกที่ควรหรือไม่ควรมีในเอสเซนส์นั้น?
    โดยทั่วไป ไม่แนะนำ ให้ผสมผง L-ascorbic acid ลงในโทนเนอร์หรือเอสเซนส์สำเร็จรูปที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากปัญหาความไม่เสถียรที่กล่าวมาข้างต้น ความเสถียรของ L-ascorbic acid ในสูตรที่มีน้ำขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุมได้ยากเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป:

    • ระดับ pH: L-ascorbic acid ต้องการ pH ที่ต่ำ (โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 2.0 ถึง 4.0 ซึ่ง pH 3.5-4.0 เหมาะสำหรับผิว) เพื่อคงความเสถียร โทนเนอร์หรือเอสเซนส์ส่วนใหญ่มักมี pH ที่สูงกว่า ซึ่งจะทำให้ L-ascorbic acid เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
    • การมีอยู่ของไอออนโลหะ: ไอออนโลหะ เช่น เหล็ก ทองแดง และนิกเกิล สามารถเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันของ L-ascorbic acid ในน้ำได้ สูตร L-ascorbic acid ที่ดีในน้ำควรมีสารคีเลต (chelating agent) เช่น Disodium EDTA เพื่อจับกับไอออนโลหะเหล่านี้
    • การมีอยู่ของสารช่วยให้เสถียร: ส่วนผสมที่ช่วยปกป้อง L-ascorbic acid จากการเกิดออกซิเดชันและแสง UV จะเป็นประโยชน์ ซึ่งอาจรวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ (เช่น Vitamin E และ Ferulic Acid) และสารป้องกัน UV โดยเฉพาะ

    เนื่องจากคุณไม่สามารถรับประกันระดับ pH ที่ถูกต้อง การมีอยู่ของสารคีเลต หรือสารช่วยให้เสถียรที่เพียงพอในโทนเนอร์หรือเอสเซนส์สำเร็จรูป การผสมผง L-ascorbic acid ลงในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงมีแนวโน้มที่จะทำให้เซรั่มเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วและไม่มีประสิทธิภาพ

    สำหรับวิตามินซีที่เสถียรในสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ควรพิจารณาใช้อนุพันธ์ของวิตามินซีที่มีความเสถียรมากกว่า เช่น:

    • Ethyl Ascorbic Acid
    • Ascorbyl Glucoside
    • Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP)
    • Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP)

    หากคุณต้องการใช้ L-ascorbic acid วิธีที่ดีที่สุดคือการสร้างสูตรเซรั่มขึ้นมาเอง ซึ่งคุณสามารถควบคุมพารามิเตอร์ที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อให้เกิดความเสถียรได้ หรือใช้ในสูตรที่ไม่มีน้ำ (anhydrous) เช่น เซรั่มที่มีซิลิโคนเป็นเบส ซึ่งเหมาะสำหรับ L-ascorbic acid เกรด Ultra-Fine

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
เครื่องสำอาง
Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)
Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard)
เครื่องสำอาง
Magnesium Ascorbyl Phosphate
Magnesium Ascorbyl Phosphate
เครื่องสำอาง
Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin C SAP, e.q. Stay C50)
Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin C SAP, e.q. Stay C50)
เครื่องสำอาง