ขั้นตอนการขึ้นสูตรครีมลดฝ้า

ถามโดย: khunmaiklub เมื่อ: May 19, 2016 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

ต้องการทราบขั้นตอนการขึ้นสูตรครีมลดฝ้าอย่างละเอียด โดยใช้ส่วนประกอบดังต่อไปนี้:

  • น้ำกลั่นบริสุทธิ์
  • สารสกัดเปลือกสน
  • Ceramide Complex
  • Tranexamic Acid
  • Carbomer
  • Methylparaben
  • Propylparaben
  • Evening primrose oil
  • Mineral oil
  • Glyceryl stearate
  • Cetyl alcohol
  • Vitamin E
  • Coenzyme Q10 (ที่ละลายใน Glycol แล้ว)
  • สารสกัดชะเอมเทศ
  • สารสกัดเมล็ดองุ่น
  • สารสกัดชาขาว
  • Alpha Arbutin (ที่ละลายน้ำแล้ว)
  • Ascorbic Acid (ที่ละลายน้ำแล้ว)
  • TEA ด่าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยากทราบข้อมูลดังนี้:

  1. ขั้นตอนการทำอย่างละเอียด ก่อน-หลัง และต้องใช้ความร้อนช่วยในขั้นตอนไหนบ้าง?
  2. ทำอย่างไรให้ส่วนประกอบที่เป็นผง และเนื้อข้นหนืด (เช่น Ceramide Complex) ละลายได้ดี มีเทคนิคพิเศษอะไรไหม?
  3. การปรับค่า pH ควรปรับในขั้นตอนไหนบ้าง?
  4. ทำอย่างไรให้ครีมข้นได้เนื้อตามที่ต้องการ ในกรณีที่ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นของเหลว?

คำตอบ

สวัสดีค่ะ เข้าใจว่าคุณต้องการทราบขั้นตอนละเอียดในการผสมครีมลดฝ้าด้วยส่วนประกอบที่คุณมีนะคะ

จากส่วนประกอบที่คุณแจ้งมาและข้อมูลเพิ่มเติมจากทีมงาน MySkinRecipes ที่ตอบในกระทู้ มีบางจุดที่ต้องให้ความสำคัญค่ะ โดยเฉพาะเรื่อง L-Ascorbic Acid (วิตามินซี) ที่ทีมงานแจ้งว่าอาจไม่เหมาะกับสูตรนี้ ซึ่งโดยทั่วไป L-Ascorbic Acid บริสุทธิ์จะไม่เสถียรในสูตรที่เป็นน้ำและมี pH สูง ทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้เร็วค่ะ ควรตรวจสอบกับผู้จำหน่ายวิตามินซีที่คุณซื้อมาอีกครั้งว่าสามารถใช้ในสูตรครีมลักษณะนี้ได้หรือไม่ หรืออาจพิจารณาใช้วิตามินซีรูปแบบอื่นที่เสถียรกว่าแทนค่ะ

เนื่องจากการทำเครื่องสำอางใช้เองต้องอาศัยความแม่นยำของปริมาณส่วนผสมแต่ละตัว รวมถึงความเข้าใจในคุณสมบัติและการเข้ากันได้ของสารแต่ละชนิด ซึ่งข้อมูลปริมาณที่แน่นอนไม่ได้ระบุไว้ในคำถามนี้ ดิฉันจะให้คำแนะนำเป็นขั้นตอนการผสมครีมแบบทั่วไป โดยอิงจากส่วนประกอบที่คุณมีและข้อมูลที่ได้รับนะคะ

หลักการพื้นฐานในการผสมครีม (Emulsion Cream):

ครีมส่วนใหญ่เป็นอิมัลชัน (Emulsion) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของส่วนผสมที่เป็นน้ำ (Water Phase) และส่วนผสมที่เป็นน้ำมัน (Oil Phase) โดยมีสารที่ช่วยให้เข้ากัน (Emulsifier) เป็นตัวเชื่อม ส่วนผสมบางอย่างอาจต้องละลายในตัวทำละลายอื่นก่อน หรือเติมในขั้นตอนหลังเมื่อครีมเย็นลงแล้ว

ขั้นตอนการผสมครีมลดฝ้า (แนวทางทั่วไป):

  1. เตรียมอุปกรณ์และพื้นที่ให้สะอาด: ฆ่าเชื้ออุปกรณ์และภาชนะทั้งหมดที่จะใช้ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
  2. แบ่งส่วนผสมออกเป็นกลุ่มตามคุณสมบัติ:
    • ส่วนน้ำ (Water Phase): น้ำกลั่นบริสุทธิ์ (Water), สารสกัดเปลือกสน (French Pine Bark Extract), Ceramide Complex, Tranexamic Acid, Carbomer (กระจายตัวในน้ำเย็น), Methylparaben, Propylparaben (ถ้าละลายในน้ำร้อนได้)
    • ส่วนน้ำมัน (Oil Phase): Evening primrose oil, Mineral oil, Glyceryl stearate, Cetyl alcohol, Vitamin E, Coenzyme Q10 (ที่ละลายใน Glycol แล้ว)
    • ส่วนที่เติมภายหลัง (Cooling Phase/Additives): สารสกัดชะเอมเทศ, สารสกัดเมล็ดองุ่น, สารสกัดชาขาว, Alpha Arbutin (ที่ละลายน้ำแล้ว), Ascorbic Acid (ถ้าใช้และละลายน้ำแล้ว), TEA ด่าง (สำหรับปรับ pH และทำให้ Carbomer ข้น)
  3. ให้ความร้อนส่วนน้ำและส่วนน้ำมัน:
    • นำส่วนผสมในส่วนน้ำ (ยกเว้น Carbomer และ TEA) ใส่รวมกันในภาชนะที่ทนความร้อน ให้ความร้อนประมาณ 70-75°C เพื่อช่วยละลายส่วนผสมที่เป็นผงที่ละลายน้ำได้ดีในความร้อน (เช่น Parabens บางชนิด) และเตรียมพร้อมสำหรับการรวมกับส่วนน้ำมัน
    • นำส่วนผสมในส่วนน้ำมันใส่รวมกันในอีกภาชนะ ให้ความร้อนประมาณ 70-75°C เช่นกัน เพื่อหลอม Glyceryl stearate และ Cetyl alcohol ให้เป็นของเหลว
    • หมายเหตุ: อุณหภูมิของทั้งสองส่วนควรใกล้เคียงกันเมื่อนำมารวมกัน
  4. รวมส่วนน้ำและส่วนน้ำมัน (Emulsification):
    • เมื่อทั้งสองส่วนได้อุณหภูมิที่ต้องการ ค่อยๆ เทส่วนน้ำมันลงในส่วนน้ำ (หรือกลับกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของ Emulsifier แต่การเท Oil Phase ลงใน Water Phase มักใช้กับ O/W Emulsion) พร้อมกับคนหรือใช้เครื่องปั่นผสม (Homogenizer หรือ Hand Blender ขนาดเล็กสำหรับทำเครื่องสำอาง) ด้วยความเร็วปานกลางถึงสูง เพื่อให้ส่วนผสมทั้งสองเข้ากันเป็นเนื้อครีม
    • คนหรือปั่นผสมต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่ครีมเริ่มเย็นตัวลง
  5. เติมส่วนผสมที่เติมภายหลัง:
    • เมื่อครีมเย็นลงจนอุณหภูมิต่ำกว่า 40-45°C (เพื่อรักษาสารสำคัญที่ไวต่อความร้อน) ค่อยๆ เติมส่วนผสมในกลุ่ม Cooling Phase/Additives ทีละตัวลงไป คนผสมให้เข้ากันดีหลังเติมแต่ละตัว
    • เติม Coenzyme Q10 ที่ละลายใน Glycol แล้ว
    • เติม Alpha Arbutin ที่ละลายน้ำแล้ว
    • เติมสารสกัดต่างๆ (ชะเอมเทศ, เมล็ดองุ่น, ชาขาว)
    • เติม Vitamin E.
    • (ถ้าใช้) เติม Ascorbic Acid ที่ละลายน้ำแล้ว
  6. ทำให้ข้นและปรับ pH:
    • ในขั้นตอนนี้ Carbomer ที่กระจายตัวในส่วนน้ำจะยังไม่ข้น เมื่อเติม TEA ด่างลงไป (มักทำเป็นสารละลาย TEA ในน้ำ) TEA จะไปทำปฏิกิริยากับ Carbomer ทำให้เนื้อครีมข้นขึ้น
    • ค่อยๆ เติมสารละลาย TEA ทีละน้อย พร้อมคนผสม และวัดค่า pH ไปด้วย ปรับ pH ของครีมให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับผิว (โดยทั่วไปประมาณ 5.0-6.0) และเหมาะสมกับสารสำคัญที่ใช้ (เช่น Alpha Arbutin ทำงานได้ดีในช่วง pH 5.0-6.5)
  7. คนผสมครั้งสุดท้ายและบรรจุ:
    • เมื่อเนื้อครีมข้นได้ที่และปรับ pH เรียบร้อยแล้ว คนผสมอีกครั้งให้แน่ใจว่าทุกอย่างเข้ากันดี
    • บรรจุครีมลงในภาชนะที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว

คำตอบสำหรับคำถามเฉพาะของคุณ:

  1. ขั้นตอนละเอียดก่อนหลัง และต้องใช้ความร้อนมาช่วยขั้นตอนไหนบ้าง: ตามขั้นตอนด้านบน ความร้อนใช้ในขั้นตอนที่ 3 เพื่อหลอมส่วนผสมที่เป็นไขมัน/แว็กซ์ และช่วยในการรวมตัวของส่วนน้ำและน้ำมันเป็นอิมัลชัน ส่วนผสมที่ไวต่อความร้อนจะเติมในขั้นตอนที่ 5 เมื่อครีมเย็นลงแล้ว
  2. ทำอย่างไรให้ส่วนประกอบที่เป็นผง และเนื้อข้นหนืด (Ceramide) ละลายได้ดีมีเทคนิคพิเศษอะไรไหม:
    • ส่วนประกอบที่เป็นผง (CoQ10, Alpha Arbutin, Tranexamic Acid, Ascorbic Acid, Parabens, Carbomer): ส่วนใหญ่ต้องนำไปละลายในตัวทำละลายที่เหมาะสมก่อนนำไปผสมในสูตรหลัก CoQ10 ละลายใน Glycol ตามที่คุณแจ้ง Alpha Arbutin, Tranexamic Acid, Ascorbic Acid ละลายในน้ำ Carbomer กระจายตัวในน้ำเย็นแล้วจะข้นเมื่อถูกปรับ pH ด้วยด่าง Parabens บางชนิดละลายในน้ำร้อนได้ หรือละลายใน Glycol/Alcohol ก่อนเติม
    • Ceramide Complex (เนื้อข้นหนืด): ทีมงานแจ้งว่าละลายในส่วนน้ำได้โดยตรง สามารถเติมในส่วนน้ำก่อนให้ความร้อนได้ การให้ความร้อนและการคนผสมจะช่วยให้กระจายตัวและละลายได้ดีขึ้น
  3. การปรับ pH ควรปรับขั้นตอนไหนบ้าง: ควรปรับ pH ในขั้นตอนสุดท้าย (ขั้นตอนที่ 6) หลังจากที่ครีมเย็นตัวลงและเติมส่วนผสมอื่นๆ ส่วนใหญ่ครบแล้ว การปรับ pH ในขณะที่ครีมยังร้อนอาจทำให้ค่า pH เปลี่ยนแปลงเมื่อเย็นลงได้
  4. ทำอย่างไรให้ครีมข้นกรณีส่วนประกอบเป็นของเหลวส่วนใหญ่: ในสูตรนี้มีสารที่ช่วยให้ข้นและสร้างเนื้อครีมอยู่แล้ว ได้แก่ Glyceryl stearate และ Cetyl alcohol ซึ่งเป็น Emulsifier และ Structurant ที่ต้องใช้ความร้อนในการหลอมและสร้างโครงสร้างเนื้อครีม และ Carbomer ซึ่งเป็น Thickener ที่จะข้นขึ้นเมื่อถูกปรับ pH ด้วยด่าง (TEA) การใช้ปริมาณที่เหมาะสมของสารเหล่านี้จะช่วยให้ได้เนื้อครีมที่ต้องการค่ะ

ข้อควรระวังเพิ่มเติม:

  • ปริมาณ: ขั้นตอนเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางทั่วไป การจะได้เนื้อครีมที่เสถียรและมีประสิทธิภาพต้องอาศัยปริมาณที่เหมาะสมของส่วนผสมแต่ละตัว ซึ่งมักจะระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ในสูตร ควรหาข้อมูลปริมาณการใช้ที่แนะนำสำหรับส่วนผสมแต่ละชนิดจากผู้จำหน่าย
  • ความเข้ากันได้: ตรวจสอบความเข้ากันได้ของส่วนผสมทั้งหมด โดยเฉพาะสารออกฤทธิ์ต่างๆ
  • ความเสถียร: สูตรที่ทำเองอาจมีความเสถียรต่ำกว่าสูตรที่ผลิตในโรงงาน ควรทำในปริมาณน้อยๆ ใช้ให้หมดภายในเวลาอันควร และเก็บรักษาในที่เหมาะสม
  • ประสิทธิภาพและความปลอดภัย: การทำเครื่องสำอางใช้เองมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและทดสอบกับพื้นที่เล็กๆ ก่อนใช้จริง

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการเริ่มต้นนะคะ แต่เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด การใช้สูตรสำเร็จรูปหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญโดยตรงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจาก MySkinRecipes ที่คุณสอบถามถึง ได้แก่:

  • French Pine Bark Extract (ID 717)
  • Ceramide Complex (ID 46)
  • Tranexamic Acid (ID 260)
  • Coenzyme Q10 (ID 483)
  • Vitamin C L-Ascorbic Acid (ID 133) - โปรดตรวจสอบความเหมาะสมในการใช้ในสูตรนี้อีกครั้งตามคำแนะนำของทีมงาน
  • Carbomer (ID 651)
  • Mineral Oil (ID 654)
  • Water (ID 838)

ดิฉันจะส่งคำตอบนี้เพื่อให้ทีมงานตรวจสอบและอนุมัติต่อไปค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Ceramide Complex (CeraTouch™, Cream)
Ceramide Complex (CeraTouch™, Cream)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Trans-White™
Trans-White™
เครื่องสำอาง
Coenzyme Q10 Extra
Coenzyme Q10 Extra
เครื่องสำอาง
Carbomer 940 (EasyDisperse™, France)
Carbomer 940 (EasyDisperse™, France)
เครื่องสำอาง
Mineral Oil (Paraffinum Liquidum) Light (26cst)
Mineral Oil (Paraffinum Liquidum) Light (26cst)
เครื่องสำอาง