การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของสูตร

จากส่วนผสมและเปอร์เซ็นต์ที่คุณให้มา แม้ว่าการรวมกันนี้จะเน้นไปที่ปัญหาผิวที่คุณต้องการแก้ไข (ความกระจ่างใส ความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอยจากสิว และควบคุมความมัน) แต่ก็มีความท้าทายในการพัฒนาสูตรที่สำคัญ โดยหลักคือเรื่องความเข้ากันได้ของค่า pH และความเข้มข้นรวมของสารออกฤทธิ์ที่สูง

นี่คือรายละเอียด:

• Galactomyces Ferment Filtrate (50%): อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 1-100% 50% อยู่ในช่วงนี้ แม้ว่าคำอธิบายผลิตภัณฑ์จะระบุว่าการใช้ในปริมาณสูงอาจทำให้รู้สึกเหนอะหนะได้ มีความเสถียรในช่วง pH 4-7
• Hyaluronic Solution (Double Hyaluron Liquid, 15%): อัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับ Hyaluronic Acid ชนิดน้ำ 5% นี้คือ 1-20% 15% อยู่ในช่วงนี้และเหมาะสำหรับผิวแห้ง มีความเสถียรในช่วง pH 3-9
• Niacinamide (Safe-B3™, 5%): อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 1-10% โดย Safe-B3™ สามารถใช้ได้ถึง 10% โดยไม่ทำให้เกิดอาการแดงมากนัก 5% เป็นความเข้มข้นที่นิยมและมีประสิทธิภาพ มีความเสถียรในช่วง pH 3-8 โดยมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ pH 4.0-7.0
• Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP, 5%): อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 0.5-10% โดยแนะนำที่ 3% และอาจมีปัญหาการละลายหากใช้เกิน 8% 5% อยู่ในช่วงนี้ แต่ควรสังเกตเรื่องการละลาย ที่สำคัญคือ MAP ต้องการช่วง pH ที่เป็นด่างคือ 7-9 เพื่อความเสถียร โดยมีความเสถียรสูงสุดที่ pH 7-8 และจำเป็นต้องเติม Disodium EDTA เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียร
• Acetyl Glucosamine (GlucoBright™, 4%): อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 1-8% โดยแนะนำที่ 4% เมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide ความเข้มข้นนี้เหมาะสม มีความเสถียรในช่วง pH 3-7
• Zinc PCA (1%): อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 0.2-1.0% โดย 1.0% เหมาะสำหรับผิวมันและช่วยลดการเกิดสิว ความเข้มข้นนี้เหมาะสมกับสภาพผิวและเป้าหมายของคุณ มีความสามารถในการละลายสูงในช่วง pH 4-6 และมีความเสถียรในช่วง pH 3-7

ความท้าทายหลัก

1. ความไม่เข้ากันของค่า pH: ปัญหาที่สำคัญที่สุดคือความขัดแย้งในค่า pH ที่เหมาะสม Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) ต้องการ pH 7-9 เพื่อความเสถียร ในขณะที่ Niacinamide, Acetyl Glucosamine และ Zinc PCA ทำงานได้ดีที่สุดและมีความเสถียรสูงสุดในช่วงที่เป็นกรดเล็กน้อยถึงกลางๆ (โดยทั่วไป pH 4-7 และควรต่ำกว่านี้สำหรับ Niacinamide และ Zinc PCA) การพัฒนาสูตรที่ pH ที่เหมาะสมสำหรับ MAP จะทำให้สารออกฤทธิ์อื่นๆ เสื่อมสภาพหรือมีประสิทธิภาพลดลง และในทางกลับกัน
2. ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สูง: ความเข้มข้นรวมของสารออกฤทธิ์สูงมาก (80%) แม้ว่าบางส่วนจะเป็นของเหลว แต่การรวมสารออกฤทธิ์หลายชนิดในเปอร์เซ็นต์ที่สูงเช่นนี้อาจเป็นเรื่องท้าทายในการทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่ต้องการ (เจล/เซรั่มเนื้อบางเบา) และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว โดยเฉพาะในบริเวณผิวที่บอบบาง

สรุป

การรวมส่วนผสมทั้งหมดตามเปอร์เซ็นต์ที่ระบุในสูตรเดียวที่เสถียรและมีประสิทธิภาพ ไม่แนะนำ เนื่องจากความไม่เข้ากันของค่า pH ระหว่าง Magnesium Ascorbyl Phosphate และสารออกฤทธิ์อื่นๆ

ข้อเสนอแนะ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ลองพิจารณาแนวทางเหล่านี้:

• ทางเลือกที่ 1: เลือกใช้ Vitamin C รูปแบบอื่น: แทนที่ Magnesium Ascorbyl Phosphate ด้วย Vitamin C รูปแบบอื่นที่มีความเสถียรที่ pH ต่ำกว่า ซึ่งเข้ากันได้กับ Niacinamide, Acetyl Glucosamine และ Zinc PCA ตัวอย่างเช่น Ethyl Ascorbic Acid หรือ Ascorbyl Glucoside จากนั้นคุณสามารถพัฒนาเซรั่มเดียวที่มีสารออกฤทธิ์ที่เข้ากันได้ทั้งหมด
• ทางเลือกที่ 2: แบ่งเป็น 2 ผลิตภัณฑ์: พัฒนาเซรั่มสองชนิดที่แตกต่างกัน:
  • เซรั่มที่ 1: มี Magnesium Ascorbyl Phosphate (ที่ pH 7-9) สำหรับช่วยเรื่องความกระจ่างใส
  • เซรั่มที่ 2: มี Galactomyces, Hyaluronic Solution, Niacinamide, Acetyl Glucosamine และ Zinc PCA (พัฒนาสูตรที่ pH ที่เข้ากันได้ ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วง 4-6) สำหรับให้ความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย ควบคุมความมัน และเสริมเรื่องความกระจ่างใส
    
    วิธีนี้จะช่วยให้สารออกฤทธิ์แต่ละชนิดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดเพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพ
• ทางเลือกที่ 3: ปรับลดความเข้มข้น: แม้จะใช้ส่วนผสมที่เข้ากันได้ ควรพิจารณาใช้ความเข้มข้นที่ต่ำลงเล็กน้อยสำหรับสารออกฤทธิ์บางชนิด โดยเฉพาะ Galactomyces หากคุณต้องการเนื้อสัมผัสที่บางเบามาก และเพื่อลดโอกาสการเหนอะหนะที่ความเข้มข้น 50%.

การแก้ไขปัญหาความเข้ากันได้ของค่า pH จะช่วยให้คุณสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะให้ประโยชน์ตามที่คุณต้องการสำหรับสภาพผิวของคุณ.