ความเสถียรและการใช้งานผง Pure EGCG และ L-Ascorbic Acid สำหรับทำบูสเตอร์
คำถาม
ดิฉันมีสูตรที่มี Pure EGCG แล้วสีคล้ำขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และอยากทราบว่าการใช้ Pure EGCG เกิน 2% จะเกิดอันตรายหรือไม่คะ
นอกจากนี้ ดิฉันมีแนวคิดที่จะผสมผง Pure EGCG และ L-ascorbic acid เข้าด้วยกันเพื่อใช้เป็นบูสเตอร์รายวัน โดยจะตักส่วนผสมผงเล็กน้อยมาผสมกับเซรั่มก่อนทาทุกครั้ง การผสมผงทั้งสองชนิดล่วงหน้าและเก็บไว้ด้วยกันจะทำให้เกิดปัญหาด้านความเสถียรหรือประสิทธิภาพลดลงหรือไม่คะ?
คำตอบ
บูสเตอร์ Pure EGCG และ L-Ascorbic Acid
คุณสังเกตเห็นว่าสูตรของคุณที่มี Pure EGCG มีสีคล้ำขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งอาจเกิดจากการเสื่อมสภาพหรือปฏิกิริยาของ Pure EGCG ดังที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ การใช้ Pure EGCG ในความเข้มข้นสูงกว่า 2% ไม่ถือว่าเป็นอันตราย แต่ก็ไม่ได้ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเกินระดับนี้ ประสิทธิภาพจะคงที่ที่ 2% ดังนั้นการใช้ในปริมาณที่มากกว่านี้จึงไม่ให้ประโยชน์เพิ่มเติมต่อผิว
สำหรับแนวคิดในการผสมผง Pure EGCG และ L-ascorbic acid เข้าด้วยกันเพื่อใช้เป็นบูสเตอร์รายวัน: ทั้ง Pure EGCG และ L-ascorbic acid มีความไวต่อปัจจัยแวดล้อม เช่น แสง อากาศ และความชื้น โดยเฉพาะ L-ascorbic acid ซึ่งไม่เสถียรเมื่อละลายในน้ำ การผสมผงล่วงหน้าและเก็บไว้ แม้ในภาชนะที่ป้องกันแสง อาจทำให้ความเสถียรและประสิทธิภาพลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยาหรือสัมผัสกับความชื้น/อากาศที่หลงเหลืออยู่ทุกครั้งที่เปิดภาชนะ
เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุดของทั้ง Pure EGCG และ L-ascorbic acid ควรเก็บแยกกันในสภาวะที่แนะนำ (โดยทั่วไปคือเย็น มืด และปิดสนิท) เมื่อต้องการใช้เป็นบูสเตอร์ แนะนำให้ตักผงแต่ละชนิดในปริมาณเล็กน้อยที่ต้องการผสมกับเซรั่มของคุณทันทีก่อนทา วิธีนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าส่วนผสมอยู่ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดเมื่อทาลงบนผิว ซึ่งจะช่วยเพิ่มประโยชน์สูงสุด
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
