ความเสถียร Encapsulated Retinol, สารช่วยเพิ่มความเสถียร (Oil-Free), และข้อกำหนด อย.
คำถาม
มีคำถามเกี่ยวกับ Encapsulated Retinol ดังนี้ค่ะ
- ถ้าไม่ใส่ตัวช่วยเรื่องความเสถียรหรือปกป้องรังสี UV จะเกิดปัญหามั้ยคะ ในกรณีที่อยู่ในขวดทึบแสง พ้นแสง และอยู่ในอุณหภูมิห้องปกติ หากเก็บตามเงื่อนไขนี้ อยากทราบว่าอยู่ได้นานไม่เกินกี่เดือนคะถึงจะเปลี่ยนสี (เคยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลค่ะ)
- ถ้าจำเป็นต้องใส่สารเพิ่มความเสถียรปกป้องรังสี UV มีตัวไหนที่นอกเหนือจากกลุ่มวิตามินอีหรือ Protec บ้างคะ คืออยากได้สารที่ไม่ใช่ส่วนของน้ำมัน (oil-free) ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ
- สาร Encapsulated Retinol ใส่ได้สูงสุดกี่เปอร์เซ็นต์คะตามระเบียบ อย. ประเทศไทย เห็นมีการแนะนำ 2% แต่พยายามหาข้อกำหนดไม่เจอค่ะ รบกวนด้วยนะคะ
คำตอบ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสารกลุ่มเรตินอยด์แบบ Encapsulated
คุณมีคำถามเกี่ยวกับความเสถียรและการใช้สารกลุ่มเรตินอยด์แบบ Encapsulated นี่คือข้อมูลบางส่วนจากคำถามของคุณและรายละเอียดผลิตภัณฑ์:
1. ความเสถียรโดยไม่มีสารช่วยเพิ่มความเสถียร
แม้จะอยู่ในรูปแบบ Encapsulated และเก็บในขวดทึบแสง พ้นจากแสง และอยู่ในอุณหภูมิห้องปกติ สารกลุ่มเรตินอยด์แบบ Encapsulated ก็ยังสามารถเสื่อมสภาพได้เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีสารช่วยเพิ่มความเสถียรเพิ่มเติม การที่สีเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลที่คุณสังเกตเห็นเป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพนี้
แม้ว่า Encapsulation จะช่วยป้องกันได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ส่วนผสมมีความเสถียรอย่างสมบูรณ์ เพื่ออายุการเก็บรักษาที่ดีที่สุดและลดการเสื่อมสภาพให้เหลือน้อยที่สุด ขอแนะนำอย่างยิ่งให้เก็บสารกลุ่มเรตินอยด์แบบ Encapsulated ในที่เย็น โดยเฉพาะในตู้เย็น (2-8°C) และใส่สารช่วยเพิ่มความเสถียรที่เหมาะสมในสูตรของคุณ ระยะเวลาที่แน่นอนก่อนที่สีจะเปลี่ยนโดยไม่มีสารช่วยเพิ่มความเสถียรจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ ความเข้มข้น และสภาวะการเก็บรักษา แต่การเสื่อมสภาพมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเร็วกว่าหากใช้สารช่วยเพิ่มความเสถียรและรักษาสภาพอุณหภูมิที่เหมาะสม
2. สารช่วยเพิ่มความเสถียรที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน
คุณกำลังมองหาสารช่วยเพิ่มความเสถียรที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน นอกเหนือจากวิตามินอีหรือผลิตภัณฑ์ Protec™ สำหรับสูตรที่เป็นน้ำหรือไม่มีน้ำมัน คุณสามารถพิจารณาสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยปกป้องส่วนผสมที่ไวต่อการเสื่อมสภาพ เช่น สารกลุ่มเรตินอยด์ จากการเกิดออกซิเดชันและการเสื่อมสภาพ ตัวอย่างบางส่วนได้แก่:
- อนุพันธ์ของวิตามินซี: รูปแบบที่ละลายน้ำได้ เช่น Sodium Ascorbyl Phosphate หรือ Ascorbyl Glucoside
- Ferulic Acid: สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ มักใช้ร่วมกับวิตามินซีและอี และสามารถใช้ในสูตรที่เป็นน้ำได้
- สารสกัดจากพืชบางชนิด: สารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากพืชบางชนิดสามารถละลายน้ำได้
ส่วนผสมเหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มความเสถียรของสูตรของคุณได้โดยไม่ต้องเพิ่มส่วนผสมของน้ำมัน
3. ข้อกำหนด อย. ประเทศไทย สำหรับสารกลุ่มเรตินอยด์
เกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์สูงสุดที่ อย. ประเทศไทย อนุญาต ข้อกำหนดได้ระบุขีดจำกัดสำหรับวิตามินเอในรูปแบบต่างๆ ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางพร้อมใช้ ดังนี้:
- Retinol, Retinyl Acetate, และ Retinyl Palmitate: ความเข้มข้นสูงสุดที่อนุญาตคือ 0.3% (คำนวณเป็น Retinol equivalent)
- Retinal (Retinaldehyde): ความเข้มข้นสูงสุดที่อนุญาตคือ 0.05% (คำนวณเป็น Retinol equivalent)
- Hydroxypinacolone Retinoate (HPR): ความเข้มข้นสูงสุดที่อนุญาตคือ 0.3% (คำนวณเป็น HPR)
สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าเปอร์เซ็นต์ที่ระบุบนผลิตภัณฑ์วัตถุดิบ เช่น รูปแบบ Encapsulated หมายถึงความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ ภายในวัตถุดิบนั้น เมื่อทำการผสมสูตร คุณต้องคำนวณความเข้มข้นสุดท้ายของสารกลุ่มเรตินอยด์ออกฤทธิ์ (Retinol, Retinal, HPR ฯลฯ) ในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามขีดจำกัดเฉพาะของ อย. ประเทศไทย สำหรับเรตินอยด์รูปแบบนั้นๆ
เปอร์เซ็นต์ 2% ที่คุณกล่าวถึงอาจเป็นอัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับผลิตภัณฑ์ Encapsulated เฉพาะตัว ไม่ใช่ความเข้มข้นสูงสุดที่อนุญาตของสารกลุ่มเรตินอยด์ออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำเร็จรูปตามข้อกำหนดของ อย. ควรคำนวณความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สุดท้ายเสมอ โดยอิงจากเปอร์เซ็นต์ของวัตถุดิบที่ใช้และเปอร์เซ็นต์ของสารออกฤทธิ์ภายในวัตถุดิบนั้น.