ความแตกต่างของสารประสานเนื้อ PEG-7 Glyceryl Cocoate และ PEG-40 Hydrogenated Castor Oil ในสูตรครีม (HLB)
คำถาม
ต้องการสอบถามความแตกต่างระหว่าง PEG-7 Glyceryl Cocoate
และ PEG-40 Hydrogenated Castor Oil
เมื่อนำมาใช้เป็นสารประสานเนื้อในสูตรครีม การใช้ตัวใดตัวหนึ่งเป็นสารประสานเนื้อหลัก (primary emulsifier) และอีกตัวเป็นสารประสานเนื้อรอง (secondary emulsifier) ส่งผลต่อเนื้อครีมสุดท้ายอย่างไร และเหตุผลทางเทคนิคเบื้องหลังความแตกต่างนี้คืออะไร?
คำตอบ
หัวข้อ: Re: ขอคำแนะนำเกี่ยวกับสารลดแรงตึงผิว (PEG-7 Glyceryl Cocoate และ PEG-40 Hydrogenated Castor Oil)
เรียนทีมงาน Myskin,
ขอบคุณสำหรับคำถามเกี่ยวกับ PEG-7 Glyceryl Cocoate และ PEG-40 Hydrogenated Castor Oil ครับ/ค่ะ คุณเข้าใจถูกต้องแล้วว่าทั้งสองตัวเป็นสารลดแรงตึงผิวชนิดไม่มีประจุ (non-ionic) ที่นิยมใช้เป็นสารประสานเนื้อ (emulsifier) ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทครีม
ความแตกต่างที่สำคัญเมื่อใช้ตัวใดตัวหนึ่งเป็นตัวหลัก (primary) หรือตัวรอง (secondary) อยู่ที่ค่า HLB ของสารทั้งสอง และการที่มันมีส่วนช่วยในการกำหนดค่า HLB โดยรวมของระบบสารประสานเนื้อ
ค่า HLB คืออะไร? HLB ย่อมาจาก Hydrophilic-Lipophilic Balance เป็นค่าที่บ่งบอกว่าสารลดแรงตึงผิวชนิดนั้น "ชอบ" น้ำ (hydrophilic) หรือ "ชอบ" น้ำมัน (lipophilic) มากกว่ากัน (โดยทั่วไปมีค่าระหว่าง 1-20)
- ค่า HLB ต่ำ (เช่น 1-8) แสดงว่าชอบน้ำมันมากกว่า มักใช้ในอิมัลชันชนิด W/O (น้ำในน้ำมัน)
- ค่า HLB สูง (เช่น 9-18) แสดงว่าชอบน้ำมากกว่า มักใช้ในอิมัลชันชนิด O/W (น้ำมันในน้ำ)
- PEG-7 Glyceryl Cocoate มีค่า HLB เท่ากับ 11
- PEG-40 Hydrogenated Castor Oil มีค่า HLB เท่ากับ 16
ทำไมต้องใช้แบบผสม? เฟสน้ำมันที่แตกต่างกัน (ส่วนผสมของน้ำมัน เอสเทอร์ ฯลฯ ในครีม) ต้องการ "ค่า HLB ที่เหมาะสม" (required HLB) เพื่อให้สามารถประสานเข้ากับเฟสน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเสถียร มักเป็นการยากที่จะหาสารประสานเนื้อเพียงชนิดเดียวที่มีค่า HLB ตรงตามที่ต้องการพอดี ดังนั้น ผู้พัฒนาสูตรจึงนิยมใช้สารประสานเนื้อตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปที่มีค่า HLB ต่างกัน (ตัวหนึ่งค่าต่ำ ตัวหนึ่งค่าสูง) เพื่อสร้างระบบสารประสานเนื้อที่มีค่า HLB เฉลี่ย ตรงกับค่า HLB ที่เฟสน้ำมันนั้นต้องการ
ตัวหลัก (Primary) vs. ตัวรอง (Secondary): เมื่อคุณใช้ PEG-40 (HLB=16) เป็นตัวหลักและ PEG-7 (HLB=11) เป็นตัวรอง หมายความว่าคุณใช้ PEG-40 ในสัดส่วนที่มากกว่า PEG-7 ซึ่งจะทำให้สารประสานเนื้อที่ผสมกันมีค่า HLB เฉลี่ยเข้าใกล้ 16 ในทางกลับกัน หากใช้ PEG-7 เป็นตัวหลักและ PEG-40 เป็นตัวรอง หมายความว่าคุณใช้ PEG-7 ในสัดส่วนที่มากกว่า ซึ่งจะทำให้ค่า HLB เฉลี่ยเข้าใกล้ 11
ความแตกต่างของผลลัพธ์: ความแตกต่างที่คุณสังเกตเห็นในครีมเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่า HLB ที่มีผลต่อระบบสารประสานเนื้อนี่เอง
- สารประสานเนื้อที่ผสมกันซึ่งมีค่า HLB เฉลี่ยสูงกว่า (ใช้ PEG-40 มากกว่า) จะเหมาะกับการประสานเฟสน้ำมันที่ต้องการค่า HLB สูงกว่า
- สารประสานเนื้อที่ผสมกันซึ่งมีค่า HLB เฉลี่ยต่ำกว่า (ใช้ PEG-7 มากกว่า) จะเหมาะกับการประสานเฟสน้ำมันที่ต้องการค่า HLB ต่ำกว่า
การเลือกใช้สารประสานเนื้อผสมที่มีค่า HLB ที่ถูกต้องและตรงกับค่า HLB ที่เฟสน้ำมันต้องการ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างอิมัลชันที่เสถียร มีเนื้อสัมผัส รูปลักษณ์ และความรู้สึกที่ต้องการ หากค่า HLB ไม่เหมาะสม อิมัลชันอาจไม่เสถียร (แยกชั้นเมื่อเวลาผ่านไป)
แม้ว่า PEG-40 จะมีความหนืดมากกว่า ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางกายภาพที่อาจส่งผลต่อเนื้อสัมผัสสุดท้าย แต่โดยทั่วไปแล้ว การพิจารณาหลักคือการทำให้ได้ค่า HLB ที่ถูกต้องเพื่อความเสถียรของการประสานเนื้อ อัตราส่วนของสารประสานเนื้อทั้งสองชนิดจะถูกปรับเพื่อปรับค่า HLB ของส่วนผสมให้ตรงกับเฟสน้ำมันที่ใช้โดยเฉพาะ
สรุปคือ ความแตกต่างเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนอัตราส่วนของ PEG-7 และ PEG-40 จะเปลี่ยนค่า HLB โดยรวมของระบบสารประสานเนื้อ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการประสานเฟสน้ำมันที่ใช้ในสูตรครีมนั้นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หวังว่าคำอธิบายนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ/คะ!
ขอแสดงความนับถือ
ทีมงาน Myskin
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง
