คำถามการพัฒนาสูตร: อิมัลซิไฟเออร์, อย., ความเสถียร, เปปไทด์
คำถาม
เกี่ยวกับสูตร Vitamin C E Ferulic (Lite) kit:
ในสูตร สามารถเปลี่ยน Laureth-23 เป็น Satin Cream Maker ได้ไหมครับ หากได้ ควรใส่กี่%ครับ
Ethoxydiglycol 20% สามารถจดแจ้งอย.ได้ปกติใช่ไหมครับ เห็นหน้าเว็บเขียนว่า ไม่เกิน2.6%สำหรับทาทิ้งไว้ แล้วควรใช้ตัวใดทดแทนหากต้องการนำสูตรนี้ไปจดแจ้งครับ แล้วเลขจดแจ้งFDA: 10-1-6010052107 กำหนดให้ Ethoxydiglycol ทำหน้าที่ใด หรือใช้วิธีใดในการจดแจ้งครับ
การใช้กลูต้าไธโอน Glutathione (L-Glutathione) (Extrasol, Japan) 1.5%ร่วมกับวิตามินซี L ascorbic acid ทั้งชนิดธรรมดา หรือ ultra fine 15% ก็เพียงพอในการชะลอการออกซิเดชั่นของวิตซีแล้วใช่ไหมครับ สูตรนี้เก็บในตู้เย็นสามารถอยู่ได้นานโดยหวังผลที่ยังมีการทำงานที่ดีอยู่กี่เดือนครับ และมีข้อแนะนำใดๆเพิ่มเติมในเรื่องของความเสถียรใหมครับ(ขั้นตอนการผสม และการไม่ใช้ความร้อนช่วยให้กลูต้าละลาย ก็สามารถทำได้ แค่จะละลายช้าแค่นั้นใช่มั้ยครับ)
3.1 ขออนุญาตถามเป็นเพียงความเห็นจากท่านเจ้าหน้าที่ ว่าสูตรที่1 Vitamin C E Ferulic (Lite) กับสูตรนี้ สูตรใดน่าจะเสถียรกว่ากันครับ เป็นเพียงความเห็นซึ่งไม่แน่ใจว่ามีการทดสอบแล้วหรือไม่ ซึ่งไม่ดูเรื่องผิดถูกครับ เป็นเพียงความเห็นของท่านเจ้าหน้าที่
3.2 สูตรที่ใช้กลูต้าชะลอ ควรมี EDTA 0.2% เพื่อจับประจุในนำด้วยใช่ไหมครับ
3.3 และสามารถใช้ร่วมกับเปปไทนใดๆที่มีจำหน่ายไหมครับ เช่น Pal-GHK, Pal-GQPR (eq. Matrixyl 3000) , Acetyl Hexapeptide-8 (eq. Argireline) , DMAE (SkinTight MD™) Liquid , B5 , Adenosine Liposome , Tetrapeptide-21 หากได้รบกวนท่านเจ้าหน้าที่แนะนำสารตัวใดที่เห็นผล มีการวิจัย ราคาไม่สูง ใช่เดี่ยวหรือคู่กับตัวใดครับ 1-2ตัว (ผิวมีริ้วรอยทั่วไป เป็นการแนะนำสำหรับสภาพผิวปัญหาผิวที่เกิดขึ้นในคนทั่วไปที่อายุมากขึ้นครับ)
ขอบคุณครับ
คำตอบ
คำถามเกี่ยวกับการผสมสูตร
1. การเปลี่ยน Laureth-23 เป็น Satin Cream Maker
ใช่ครับ สามารถพิจารณาเปลี่ยน Laureth-23 เป็น Satin Cream Maker ได้ แต่มีวิธีการผสมที่แตกต่างกัน
- Laureth-23 เป็น Emulsifier ชนิดของแข็งที่ต้องใช้ความร้อน (60-70°C) และผสมในส่วนของน้ำมัน (oil phase)
- Satin Cream Maker เป็น Emulsifier และ Thickener ที่ไม่ต้องใช้ความร้อน ผสมในส่วนของน้ำ (water phase) ก่อนนำไปรวมกับส่วนของน้ำมัน สามารถทำงานได้ในช่วง pH กว้าง (3-12) และสามารถประสานน้ำมันได้ถึง 25%
ในการใช้ Satin Cream Maker จะต้องนำไปกระจายตัวในส่วนของน้ำก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เติมส่วนของน้ำมันลงไปพร้อมกับคนผสม
สำหรับอัตราส่วนการใช้ Satin Cream Maker คำแนะนำในรายละเอียดสินค้าคือ 1-1.5% เพื่อให้ได้ความหนืดตามต้องการ และสามารถเพิ่มได้สูงสุดถึง 3.0% เพื่อให้เนื้อครีมข้นขึ้น
2. Ethoxydiglycol และการจดแจ้ง อย.
การใช้ Ethoxydiglycol ที่ความเข้มข้น 20% ในผลิตภัณฑ์แบบทาทิ้งไว้ (Leave-on) เช่น เซรั่มหรือครีม ไม่สามารถจดแจ้ง อย. ได้ตามปกติ เนื่องจากข้อกำหนดล่าสุดของ อย. ที่ระบุในรายละเอียดสินค้า Ethoxydiglycol กำหนดให้ใช้ในผลิตภัณฑ์ทาทิ้งไว้หรือสเปรย์ผิวได้ ไม่เกิน 2.6% เท่านั้น
ผมไม่สามารถให้ข้อมูลเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับเลขจดแจ้ง อย. 10-1-6010052107 หรือหน้าที่เฉพาะของ Ethoxydiglycol ในสูตรที่จดแจ้งนั้นได้ เนื่องจากข้อมูลนี้ไม่สามารถเข้าถึงได้จากฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์
หากต้องการใช้ Solvent/Carrier ที่ความเข้มข้นสูงขึ้นสำหรับการจดแจ้ง อย. ควรพิจารณาสารอื่นที่มีข้อกำหนดการใช้ที่สูงกว่า สารทางเลือกที่เหมาะสมซึ่งทำหน้าที่เป็น Solvent และ Carrier ได้แก่:
- Propanediol (1,3-Propanediol): สามารถใช้ได้ในอัตรา 1-20% เป็น Solvent และ Humectant ที่ได้จากธรรมชาติ
- Butylene Glycol: สามารถใช้ได้ในอัตรา 1-20% (สูงสุดไม่เกิน 50%) เป็น Solvent และ Humectant ที่ใช้กันทั่วไปและอ่อนโยน
ทั้ง Propanediol และ Butylene Glycol เป็นส่วนประกอบที่ใช้กันแพร่หลายในเครื่องสำอาง และโดยทั่วไปสามารถจดแจ้ง อย. ได้ภายในช่วงอัตราการใช้ปกติ
3. ความเสถียรของ Glutathione และ L-Ascorbic Acid
การใช้ Glutathione (L-Glutathione Reduced) 1.5% ร่วมกับ L-Ascorbic Acid (ชนิด Fine หรือ Ultra-Fine) 15% สามารถช่วย เพิ่มความเสถียร ของ L-Ascorbic Acid ได้ โดยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รายละเอียดสินค้าของ Glutathione ระบุชัดเจนว่าสามารถใช้ในอัตราส่วน 1:10 เทียบกับ L-Ascorbic Acid เพื่อเพิ่มความเสถียรของวิตามินซี
การผสมและความเสถียร:
- ผสม Glutathione ในส่วนของน้ำ (water phase)
- หลีกเลี่ยงความร้อนในการผสม อุณหภูมิไม่ควรเกิน 40°C การใช้ความร้อนเล็กน้อย (60-70°C ชั่วคราว) อาจช่วยให้ Glutathione ละลายเร็วขึ้นและง่ายขึ้น แต่เพื่อความเสถียรที่ดีที่สุด ควรหลีกเลี่ยงอุณหภูมิสูง
- ค่า pH ของสูตรสำเร็จควรอยู่ระหว่าง 3-6 เพื่อความเสถียรของ Glutathione ในขณะที่ L-Ascorbic Acid ต้องการ pH ระหว่าง 2.0-4.0 (อย. กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ทาทิ้งมี pH >= 3.5) ดังนั้น pH ในช่วง 3.5-4.0 จึงเหมาะสมสำหรับทั้งสองส่วนประกอบ
- จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องใส่ Disodium EDTA ในอัตรา 0.1-0.2% ในส่วนของน้ำก่อนเติม L-Ascorbic Acid เพื่อช่วยจับประจุโลหะในน้ำ ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเสื่อมสภาพของ L-Ascorbic Acid ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเสถียรของสูตร
อายุการใช้งาน:
การเก็บรักษาสูตรนี้ในตู้เย็น (6-8°C สำหรับ L-Ascorbic Acid, 6-8°C หรือ 4-8°C สำหรับ Glutathione) จะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพได้อย่างมาก แม้จะไม่สามารถระบุระยะเวลาที่แน่นอนได้โดยไม่มีข้อมูลการทดสอบความเสถียรของสูตรนั้นๆ โดยเฉพาะ แต่การเก็บในตู้เย็นควรทำให้สูตรยังคงมีประสิทธิภาพอยู่ได้ หลายเดือน (อาจจะ 6 เดือนขึ้นไป โดยอิงจากความเสถียรทั่วไปของสูตร L-Ascorbic Acid ที่แช่เย็น) ควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีหรือกลิ่น ซึ่งเป็นสัญญาณของการเสื่อมสภาพ
3.1 ความเสถียรเปรียบเทียบ (ความเห็น)
เมื่อเปรียบเทียบความเสถียรของสูตร Vitamin C E Ferulic (Lite) (ที่ใช้ Vitamin E + Ferulic Acid) กับสูตรที่ใช้ L-Ascorbic Acid + Glutathione + EDTA ทั้งสองแนวทางถูกออกแบบมาเพื่อปรับปรุงความไม่เสถียรโดยธรรมชาติของ L-Ascorbic Acid
การผสมผสาน Vitamin C E Ferulic เป็นวิธีคลาสสิกที่มีการวิจัยและยอมรับอย่างกว้างขวางในการเพิ่มความเสถียรของ L-Ascorbic Acid และเสริมฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เป็นระบบที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้วิตามินซีมีความเสถียร
การผสมผสาน Glutathione + L-Ascorbic Acid + EDTA ก็ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของ Glutathione และความสามารถในการจับประจุของ EDTA เพื่อปกป้อง L-Ascorbic Acid
หากไม่มีข้อมูลการทดสอบความเสถียรเปรียบเทียบสำหรับสูตรทั้งสองนี้โดยเฉพาะ จึงยากที่จะระบุได้อย่างแน่ชัดว่าสูตรใดมีความเสถียร "มากกว่า" อย่างไรก็ตาม การผสมผสาน Vitamin C E Ferulic มักถูกพิจารณาว่าเป็นมาตรฐานสำหรับความเสถียรของ L-Ascorbic Acid เนื่องจากการวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนผลเสริมฤทธิ์กันของ Vitamin C, Vitamin E และ Ferulic Acid
3.2 การใช้ EDTA
ใช่ครับ ตามที่กล่าวในข้อ 3 การใส่ Disodium EDTA ในอัตรา 0.1-0.2% ในสูตรเมื่อใช้ L-Ascorbic Acid เป็นสิ่งที่ แนะนำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อช่วยจับประจุโลหะในน้ำที่สามารถเร่งการเสื่อมสภาพของ L-Ascorbic Acid ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเสถียรของสูตร
3.3 การใช้ร่วมกับเปปไทด์และสารลดริ้วรอยอื่นๆ
ส่วนประกอบเปปไทด์และสารลดริ้วรอยหลายชนิดที่คุณกล่าวถึงสามารถใช้ร่วมกับสูตรที่มี L-Ascorbic Acid และ Glutathione ได้ โดยต้องคำนึงถึงค่า pH และอุณหภูมิที่เหมาะสม ช่วง pH ที่เหมาะสมสำหรับ L-Ascorbic Acid (3.5-4.0 สำหรับการจดแจ้ง อย.) และ Glutathione (3-6) เข้ากันได้กับช่วง pH ที่แนะนำสำหรับ:
- Acetyl Hexapeptide-8 (Argireline): pH 3.5-6.5
- Pal-GHK, Pal-GQPR (Matrixyl 3000): ไม่มีช่วง pH เฉพาะระบุไว้ แต่มักเข้ากันได้กับสูตรเครื่องสำอางทั่วไป
- DMAE: มีการปรับ pH มาแล้วในรูปแบบสินค้า ละลายน้ำได้
- D-Panthenol (Vitamin B5): pH 3.5-7.0
- Pure-Adenosine™: pH 3.5-6.5
- Tetrapeptide-21: ไม่มีช่วง pH เฉพาะระบุไว้ ละลายน้ำได้
ส่วนประกอบเหล่านี้ส่วนใหญ่ละลายน้ำได้ (Adenosine สามารถกระจายตัวได้) และสามารถเติมในขั้นตอนสุดท้ายเมื่อสูตรเย็นลง (อุณหภูมิต่ำกว่า 40°C) ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการผสม Glutathione และ L-Ascorbic Acid
สำหรับการดูแลริ้วรอยทั่วไปที่เกิดจากวัย สารออกฤทธิ์ที่มีประสิทธิภาพและมีการวิจัยรองรับที่คุณสามารถพิจารณาใช้เดี่ยวๆ หรือร่วมกันได้ 1-2 ตัว ได้แก่:
- Pal-GHK, Pal-GQPR (Matrixyl 3000): เปปไทด์ผสมนี้เป็นที่รู้จักในการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและส่วนประกอบอื่นๆ ของผิว ช่วยลดริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 3-5%
- Tetrapeptide-21: เปปไทด์นี้มีการวิจัยเฉพาะเจาะจงในการกระตุ้นการสังเคราะห์ Extracellular Matrix (ECM) แสดงให้เห็นประสิทธิภาพที่ดีในการลดริ้วรอย อาจจะดีกว่า Matrixyl ตามที่ระบุในรายละเอียดสินค้า อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 0.5-5% (แนะนำ 3%)
ทั้ง Matrixyl 3000 และ Tetrapeptide-21 มุ่งเป้าไปที่โครงสร้างผิวเพื่อปรับปรุงริ้วรอย คุณสามารถเลือกตัวใดตัวหนึ่งตามความต้องการ หรือใช้ร่วมกันเพื่อผลเสริมฤทธิ์กันได้.
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)

Pal-GHK, Pal-GQPR (eq Matrixyl 3000)

Vitamin C E Ferulic

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)

Ethoxydiglycol (e.q. Transcutol)

Laureth-23

Disodium EDTA

Satin Cream Maker™

Butylene Glycol

DMAE (SkinTight MD™) Liquid

Propanediol (1,3-Propanediol) (e.q. Zemea)

Pure-Adenosine™

D-Panthenol Care (Pro-Vitamin B5, 100% Liquid)
