คำถามพัฒนาสูตร: ข้อจำกัด Water Phase, อิมัลซิไฟเออร์, Petrolatum, และเนื้อสัมผัส

ถามโดย: salitpong_k เมื่อ: July 02, 2015 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

เกี่ยวกับสูตรไนท์รีแพร์เซรั่ม มีคำถามดังนี้ครับ:

1. เราสามารถใส่ส่วนผสมใน water phase ได้เต็มที่กี่% ครับ กลัวว่าจะข้นจนทาไม่ได้ หรือไม่ดูดซึมเพราะน้ำน้อยเกินไปครับ
2. ถ้า oil phase เปลี่ยนไปใช้ Safflower 5% ควรใช้ `Petrolatum` เท่าไรครับ

คำตอบ

จากบทสนทนา นี่คือคำตอบสำหรับคำถามของคุณเกี่ยวกับการใช้เลซิตินและสูตรไนท์รีแพร์เซรั่มที่คุณเสนอ:

เกี่ยวกับคำถามเริ่มต้นของคุณเกี่ยวกับเลซิติน:

  1. การคำนวณ HLB สำหรับเลซิติน: แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องทำเสมอไป แต่การคำนวณค่า HLB (Hydrophilic-Lipophilic Balance) สำหรับส่วนของน้ำมันในสูตรของคุณสามารถช่วยประมาณปริมาณอิมัลซิไฟเออร์ที่เหมาะสมได้ ซึ่งจะช่วยลดการลองผิดลองถูก ประหยัดเวลา และส่วนผสมราคาแพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตในปริมาณมาก สำหรับการผลิตขนาดเล็กหรือใช้เอง คุณสามารถเลือกที่จะใช้วิธีลองผิดลองถูกได้หากต้องการ
  2. การแก้ไขปัญหาการแยกชั้นเมื่อใช้เลซิตินน้อยเกินไป: ทีมงานได้ขอรายละเอียดสูตรของคุณเพื่อให้คำแนะนำเฉพาะในการแก้ไขปัญหาการแยกชั้น อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว หากอิมัลชันแยกชั้นเนื่องจากใช้อิมัลซิไฟเออร์ไม่เพียงพอ การแก้ไขให้กลับมาสมบูรณ์แบบหลังจากที่แยกชั้นแล้วเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก คุณอาจลองพยายามทำอิมัลชันใหม่โดยเพิ่มเลซิตินและผสมอย่างแรงอีกครั้ง อาจใช้ความร้อนร่วมด้วยหากส่วนผสมอนุญาต แต่ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ และเนื้อสัมผัสอาจไม่เหมือนเดิม

เกี่ยวกับสูตรไนท์รีแพร์เซรั่มที่คุณเสนอและคำถามเพิ่มเติม:

ทีมงานแนะนำว่าไม่ควรใช้อิมัลซิไฟเออร์ที่ต้องใช้ความร้อนสำหรับสูตรของคุณ เนื่องจากมีส่วนผสมราคาแพงที่อาจไวต่อความร้อน หากจำเป็นต้องใช้ความร้อนในขั้นตอนอื่น ควรเติมส่วนผสมที่ไวต่อความร้อนในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากการเย็นตัวลงแล้วเท่านั้น

การใช้ Soy Lecithin ในสูตรนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก อาจต้องใช้ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง ซึ่งต้องกำหนดจากการทดสอบ นี่เป็นลักษณะเฉพาะของ Soy Lecithin แม้ว่าจะมีข้อดีอื่นๆ เช่น การซึมสู่ผิวที่ดี และความเป็นธรรมชาติ 100%

ข้อกังวลของคุณเกี่ยวกับสูตร:

  1. เลซิตินเทียบกับ Pro Polymer: เมื่อพิจารณาถึงความไวต่อความร้อนของส่วนผสมบางชนิด และความเป็นไปได้ที่ต้องใช้เลซิตินในปริมาณมากร่วมกับการลองผิดลองถูก การเปลี่ยนไปใช้อิมัลซิไฟเออร์อย่าง Pro Polymer ที่อาจไม่ต้องการความร้อนสูง อาจเป็นแนวทางที่ดีกว่าเพื่อลดความเสี่ยงที่ส่วนผสมราคาแพงจะเสื่อมสภาพและทำให้กระบวนการง่ายขึ้น
  2. ความข้นของสูตร: ทีมงานตั้งข้อสังเกตว่าสูตรที่เสนอมาซึ่งมีส่วนประกอบของน้ำมัน น่าจะเหมาะสำหรับผิวแห้งหรือใช้ในสภาพอากาศที่แห้ง (เช่น ห้องปรับอากาศ) ความหนืดจะขึ้นอยู่กับส่วนผสมเฉพาะและเปอร์เซ็นต์ของส่วนผสมเหล่านั้น
  3. ปริมาณ Petrolatum: Lanolin, Squalane, และ Rose Hip Oil ในสูตรเดิมของคุณมีคุณสมบัติในการสร้างชั้นเคลือบผิวและให้ความชุ่มชื้นอยู่แล้ว การเพิ่ม Petrolatum อาจไม่จำเป็นเว้นแต่ผิวของคุณจะแห้งมาก ปริมาณ Petrolatum ที่จะเพิ่มขึ้นอยู่กับระดับของผลลัพธ์การเคลือบผิวที่คุณต้องการโดยสิ้นเชิง เนื่องจากส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันและสารหล่อลื่น ไม่มีเปอร์เซ็นต์มาตรฐานตายตัว โดยมีตั้งแต่ปริมาณน้อยๆ ในครีม ไปจนถึง 100% ในผลิตภัณฑ์อย่าง Vaseline

เกี่ยวกับคำถามของคุณหลังจากพิจารณาใช้ Pro Polymer:

  1. ปริมาณสูงสุดของส่วนผสมใน Water Phase เมื่อใช้ Pro Polymer: ไม่มีกฎตายตัวสำหรับเปอร์เซ็นต์สูงสุดของส่วนผสมใน Water Phase เมื่อใช้ Pro Polymer หรือสารเพิ่มความข้น/อิมัลซิไฟเออร์ใดๆ เปอร์เซ็นต์รวมของส่วนผสมใน Water Phase (ไม่รวมน้ำ) และลักษณะของส่วนผสมเหล่านั้น (ผง ของเหลว ความเหนียวโดยธรรมชาติ) จะเป็นตัวกำหนดความหนืดและเนื้อสัมผัสสุดท้าย ส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ซึ่งเป็นของแข็งหรือมีความเหนียวโดยธรรมชาติในเปอร์เซ็นต์สูง แม้จะมีน้ำเพียงพอ ก็อาจทำให้ผลิตภัณฑ์มีความหนืดหรือเหนียวได้
  2. ปริมาณ Petrolatum เมื่อเปลี่ยนไปใช้ Safflower Oil: เช่นเดียวกับคำตอบก่อนหน้านี้ ปริมาณ Petrolatum ที่จะใช้ร่วมกับ Safflower oil 5% ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การเคลือบผิวที่ต้องการเท่านั้น Safflower oil เป็นสารให้ความนุ่ม แต่ Petrolatum ให้ผลในการสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแรง ตัดสินใจว่าคุณต้องการการป้องกันในระดับใดเพื่อกำหนดเปอร์เซ็นต์ของ Petrolatum
  3. การแก้ไขความหนืด/ความเหนียว: หากส่วนผสมสุดท้ายข้นหรือเหนียวเกินไป การเพิ่มส่วนผสมอย่าง Butylene Glycol (ตัวทำละลาย/สารให้ความชุ่มชื้น) หรือ AminoSilk (สารปรับปรุงเนื้อสัมผัส) อาจ ช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัสหรือลดความเหนียวได้ แต่ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ และขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหา การเพิ่มน้ำมันอาจทำให้รู้สึกเหนียวน้อยลงในตอนแรก แต่อาจเพิ่มความมันหรือความหนักโดยรวม ซึ่งอาจไม่เป็นที่ต้องการ การปรับเปอร์เซ็นต์ของน้ำ (หากทำได้โดยไม่กระทบต่อความเสถียร) หรือลดเปอร์เซ็นต์ของสารเพิ่มความข้น/สารก่อเจล หรือส่วนผสมที่เหนียว เป็นวิธีที่ตรงกว่าในการลดความหนืด

นอกจากนี้ ทีมงานยังแนะนำให้เพิ่มวิตามิน เช่น Vitamin B3 (Niacinamide) และ Vitamin B5 (Panthenol) ลงในสูตรของคุณด้วย ส่วนผสมเหล่านี้มีประโยชน์ต่อผิวอย่างมาก มีราคาไม่แพงนัก และการใช้ส่วนผสมที่มีประโยชน์หลากหลายมักจะให้ผลดีกว่าการใช้ส่วนผสมเพียงไม่กี่ชนิดในปริมาณสูงๆ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Active Resveratrol™
Active Resveratrol™
เครื่องสำอาง
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
เครื่องสำอาง
Rose Hip Oil (Extra Virgin Organic)
Rose Hip Oil (Extra Virgin Organic)
เครื่องสำอาง
Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)
Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)
เครื่องสำอาง
Squalane (Olive)
Squalane (Olive)
เครื่องสำอาง
Vaseline Petroleum Jelly (White, Deodorized, Soft)
Vaseline Petroleum Jelly (White, Deodorized, Soft)
เครื่องสำอาง
Pro Polymer™ (Gel Maker)
Pro Polymer™ (Gel Maker)
เครื่องสำอาง
Soy Lecithin (Natural Emulsifier)
Soy Lecithin (Natural Emulsifier)
เครื่องสำอาง
Butylene Glycol
Butylene Glycol
เครื่องสำอาง
AminoSilk™ (Lauroyl lysine)
AminoSilk™ (Lauroyl lysine)
เครื่องสำอาง
Lanolin Natural
Lanolin Natural
เครื่องสำอาง