คำถามเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรเซรั่ม L-Ascorbic Acid และ Retinal

ถามโดย: i.my.boo เมื่อ: February 16, 2021 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

สวัสดีค่ะ อยากทราบว่า

  1. L-ascorbic acid เกรด Fine และ Ultra เมื่อนำไปทำเซรั่มใน % ที่เท่ากัน ประสิทธิภาพเทียบเท่ากันไหมคะ ??

  2. L-ascorbic acid หากใส่ ActiveUV 1% และ ActiveOX 1% เพียงพอต่อการรักษาประสิทธิภาพวิตามินซีไหมคะ ?? หรือควรเลือกใส่ Ferulic Acid และวิตามินอี เพิ่มด้วยคะ

  3. L-ascorbic acid หากผสมใน Glycol ควรเลือก Glycol ชนิดไหน และเปอร์เซนต์เท่าไหร่บ้างคะ ??

  4. L-ascorbic acid 15% + ActiveRelease Retinal 0.5% + Niacinamide 5% + Tranexamic Acid 1% + สารลดการละคายเคือง + สารสร้างเนื้อ สูตรประมาณนี้จะรุนแรงไปไหมคะ สำหรับการหวังผล whitening และ spots correct ??

  5. L-ascorbic acid สามารถใส่เป็น Active 20% ในสูตรเซรั่ม ได้ไหมคะ ??

  6. ActiveRelease Retinal เข้มข้น 0.5% สามารถใช้เป็น Active สำหรับเป็น Every Day Serum ได้ไหมคะ หรือ แนะนำกี่% ดีคะ ??

ขอบคุณมากค่ะ

คำตอบ

นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับคำถามของคุณเกี่ยวกับสูตรผสม L-Ascorbic Acid และ ActiveRelease Retinal:

คำถามเกี่ยวกับสูตรผสม L-Ascorbic Acid และ Retinal

1. ประสิทธิภาพของ L-Ascorbic Acid เกรด Fine และ Ultra-Fine

เมื่อทำเซรั่มโดยใช้ L-Ascorbic Acid ในเปอร์เซ็นต์ที่เท่ากัน ทั้งเกรด Fine และ Ultra-Fine ควรให้ประสิทธิภาพที่เทียบเท่ากันเมื่อละลายหมดแล้ว ความแตกต่างหลักอยู่ที่ขนาดอนุภาค โดยเกรด Ultra-Fine มีขนาดเล็กกว่า (ต่ำกว่า 45 ไมครอน) เมื่อเทียบกับเกรด Fine (200-300 ไมครอน) ขนาดที่เล็กกว่านี้ทำให้เกรด Ultra-Fine กระจายตัวและละลายได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะในสูตรที่ไม่มีน้ำหรือมีน้ำน้อย

2. การรักษาประสิทธิภาพของวิตามินซี

การใช้ ActiveProtec™ UV 1% และ ActiveProtec™ OX 1% สามารถช่วยปกป้องเซรั่ม L-Ascorbic Acid ของคุณจากการเสื่อมสภาพที่เกิดจากแสง UV และการเกิดออกซิเดชัน ActiveProtec™ UV ประกอบด้วยสารดูดซับ UV และสารต้านอนุมูลอิสระ (Tocopheryl Acetate) ในขณะที่ ActiveProtec™ OX ให้สารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ทั้งสองชนิดสามารถละลายน้ำได้ ทำให้สะดวกในการใช้ในเซรั่มที่มีเบสเป็นน้ำ

การเพิ่ม Ferulic Acid และ Vitamin E (เช่น dl-alpha tocopherol) เป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นที่นิยมในการรักษาสภาพของ L-Ascorbic Acid และเพิ่มคุณสมบัติการต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันความเสียหายจากแสงแดด การผสมผสานนี้มีชื่อเสียงในด้านการทำงานร่วมกัน อย่างไรก็ตาม Ferulic Acid ต้องใช้ตัวทำละลายเฉพาะ เช่น Ethoxydiglycol หรือ ethanol ซึ่งจะส่งผลต่อส่วนประกอบของสูตรของคุณเมื่อเทียบกับการใช้ส่วนผสม ActiveProtec™ ที่ละลายน้ำได้ การเลือกขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสูตรที่คุณต้องการและความซับซ้อนในการผสม

3. การเลือก Glycol สำหรับผสม L-Ascorbic Acid

Glycol เช่น Propylene Glycol, Butylene Glycol และ Pentylene Glycol สามารถใช้เป็นตัวทำละลายหรือตัวทำละลายร่วมในเซรั่ม L-Ascorbic Acid ได้ ช่วยในการละลาย L-Ascorbic Acid และสามารถเพิ่มความเสถียร โดยเฉพาะในสูตรที่ไม่มีน้ำหรือมีน้ำน้อย

เปอร์เซ็นต์ของ Glycol ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบทั้งหมดของสูตรและความเข้มข้นของ L-Ascorbic Acid สำหรับความเข้มข้นของ L-Ascorbic Acid ที่สูงขึ้น (เช่น 15-20%) มักต้องการปริมาณตัวทำละลายที่มาก รวมถึง Glycol เพื่อให้แน่ใจว่าละลายหมดและมีความเสถียร อัตราการใช้ Glycol เหล่านี้ในสูตรเครื่องสำอางโดยทั่วไปอยู่ในช่วง 1% ถึง 20% แม้ว่าจะสามารถใช้ในอัตราที่สูงกว่านี้ได้ในระบบตัวทำละลายบางชนิด Butylene Glycol และ Pentylene Glycol โดยทั่วไปถือว่าอ่อนโยนกว่า Propylene Glycol

4. ความรุนแรงของสูตรที่เสนอ

สูตรที่คุณเสนอซึ่งประกอบด้วย L-Ascorbic Acid 15%, ActiveRelease Retinal 0.5%, Niacinamide 5%, Tranexamic Acid 1%, สารลดการระคายเคือง และสารสร้างเนื้อ เป็นการรวมส่วนผสมออกฤทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงมาก โดยมุ่งเน้นที่การปรับผิวให้กระจ่างใสและลดจุดด่างดำ

แม้ว่าส่วนผสมแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ แต่การรวม L-Ascorbic Acid 15% (ซึ่งต้องการค่า pH ต่ำ) กับ Retinal (ซึ่งเป็นเรตินอยด์ที่มีศักยภาพ) จะเพิ่มโอกาสในการเกิดการระคายเคืองผิว รอยแดง และการลอกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้ส่วนผสมเหล่านี้ Niacinamide ที่ 5% โดยทั่วไปทนต่อผิวได้ดีและสามารถช่วยปรับปรุงเกราะป้องกันผิว ซึ่งอาจช่วยลดการระคายเคืองได้บ้าง Tranexamic Acid ที่ 1% ก็มักจะทนต่อผิวได้ดีเช่นกัน

การใส่สารลดการระคายเคืองเป็นสิ่งสำคัญ แต่สูตรนี้มีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรง ขอแนะนำอย่างยิ่งให้ทำการทดสอบการแพ้ก่อนใช้กับใบหน้า และค่อยๆ เริ่มใช้ในกิจวัตรของคุณ (เช่น เริ่มใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง)

5. การใช้ L-Ascorbic Acid ที่ 20%

แม้ว่าเซรั่มบางชนิดในท้องตลาดจะมี L-Ascorbic Acid 20% แต่อัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับ L-Ascorbic Acid ในสูตรเครื่องสำอางโดยทั่วไปคือไม่เกิน 15% เพื่อประโยชน์ในการปรับผิวให้กระจ่างใส การใช้ที่ 20% เป็นความเข้มข้นที่สูงมากซึ่งต้องการค่า pH ที่ต่ำมากเพื่อความเสถียร ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวอย่างมาก โดยทั่วไปควรรักษาอัตราการใช้ให้อยู่ในช่วงที่แนะนำ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่สมดุลและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

6. ActiveRelease Retinal 0.5% สำหรับใช้ทุกวัน

ActiveRelease Retinal ที่ 0.5% เป็นความเข้มข้นที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับช่วงการใช้ที่แนะนำที่ 1-5% (โดยแนะนำที่ 5% เพื่อประสิทธิภาพ)

การใช้ 0.5% เป็นเซรั่มทุกวันได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความทนทานของผิวแต่ละบุคคลต่อเรตินอยด์ สำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แม้แต่ 0.5% ก็อาจต้องเริ่มใช้ทีละน้อย (เช่น สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง) สำหรับผู้ที่เคยใช้เรตินอยด์มาแล้ว การใช้ 0.5% ทุกวันอาจทนต่อผิวได้ดี แต่ความเข้มข้นที่สูงขึ้นภายในช่วงที่แนะนำ 1-5% (เช่น 1-2%) อาจให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่าสำหรับการใช้ทุกวันในระยะยาว

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
เครื่องสำอาง
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
เครื่องสำอาง
Pure-Ferulic Acid™
Pure-Ferulic Acid™
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)
เครื่องสำอาง
Vitamin E (dl-alpha tocopherol)
Vitamin E (dl-alpha tocopherol)
เครื่องสำอาง
Propylene Glycol
Propylene Glycol
เครื่องสำอาง
Butylene Glycol
Butylene Glycol
เครื่องสำอาง
Tranexamic Acid (Trans-White™)
Tranexamic Acid (Trans-White™)
เครื่องสำอาง
Pentylene Glycol (Low-Odor)
Pentylene Glycol (Low-Odor)
เครื่องสำอาง
ActiveProtec™ UV
ActiveProtec™ UV
เครื่องสำอาง
ActiveProtec™ OX
ActiveProtec™ OX
เครื่องสำอาง
Retinal-EZ™ (Encapsulated Water Dispersible Retinal)
Retinal-EZ™ (Encapsulated Water Dispersible Retinal)
เครื่องสำอาง