คำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

ถามโดย: mm.bytanda เมื่อ: October 13, 2015 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

[Reply from a5a_god]: สวัสดีทีมงานผู้น่ารักครับ
คือตอนนี้ สงสัยมากเลยครับสำหรับวิธีการใช้กระดาษวัดค่า pH (ซื้อจากที่นี้ครับ)
ทางเวปแจ้งว่า วิธีใช้ จุ่มกระดาษทดสอบ ลงในของเหลวที่ต้องการทดสอบ 5วินาที นำออกจากของเหลว และทิ้งไว้ 30วินาที และอ่านค่าสี โดยการเทียบกับตารางค่า pH บนกล่อง
ปัญหาที่พบ คือ
1. จุ่มลงใน Skin care ของแต่ละเนื้อ เช่น ครีม เซรั่ม เอสเซ้น(น้ำตบ) แล้วแช่ทิ้งไว้ 5 นาที หรือแค่จุ่มลงไปให้ฉ่ำและเอาออกเลย หลังจากนั้นรอ ให้แห้ง อ่านค่าข้างกล่อง .... ย้อนไปช่วงวัยเด็กผมเคยใช้ตอนประถม ครูให้ใช้แค่เอาสารตัวใดตัวนึง มาหยดใส่ แล้วอ่านค่าคับ
2. เมื่อผมแช่ไว้ สีของกระดาษละลายลงไปในผลิตภัณฑ์ บางทีเป็นสีเหลือง บางทีเอสเซ้นเป็นสีเลย 55555 ตกใจมากไม่รู้จะมีผลอะไรมั้ยกับสีที่ละลายออกมา เพราะผมเอาไปแช่ในน้ำป้าเจี็ยบซึ่ง ราคาอย่างว่าสูงชิบ T_T จะทิ้งก็ไม่ใจกล้าพอต้องใช้ต่อไป
3. ผมลองบีบครีม มาทาลงบนกระดาษ แล้วทิ้งไว้ 5 นาที ตามที่ในเว็ปบอก พอเช็ดออกเพื่อดูค่า สีก็หลุดออกมาเหมือนกันคับ ไม่ทราบว่านี้คือปกติใช่ปะครับ เพราะผมไม่เคยใช้กระดาษลิตมัสแบบ 4 จุดมาก่อน
4. เวลาอ่านค่านี้ เราต้องดูตามแทบสี ให้ตรงกันทั้ง 4 จุดเลยมั้ย เพราะผมเทียบแล้วหลายรอบ ไม่เคยตรงกับแทบสีที่วัดค่าเลยครับ 5555 ตอนนี้เลยเข้าใจว่า ให้อ่านค่าโดยการดูสีที่ใกล้เคียงสุด เช่น pH 4 ก็ดูว่าถ้าตรงกัน 3 สีในค่า pH นี้ ก็ถือว่า ผลการทดสอบ คือ pH ที่ 4 แบบนี้ปะครับ
.......รบกวนหน่อยนะครับเนื่องจากผมหากระทู้ในนี้แล้ว ยังไม่เจอวิธีการใช้กระดาษตามที่ผมสงสัยเลย......

คำตอบ

สวัสดีค่ะ เข้าใจว่าคุณลูกค้าต้องการทำสูตรลดเลือนริ้วรอยและมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของสูตรและวิธีทำ รวมถึงวิธีการใช้กระดาษวัดค่า pH นะคะ จะขอตอบเป็นข้อๆ ตามที่สอบถามมาค่ะ

เกี่ยวกับสูตรและวิธีทำ

  1. สูตรเดิมที่มี L-Ascorbic Acid: ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งไปแล้ว สูตรนี้ไม่สามารถทำได้ตามวิธีที่ระบุมาค่ะ เนื่องจาก Vitamin C ชนิด L-Ascorbic Acid (Ultra-Fine) ไม่สามารถละลายน้ำได้โดยตรง และต้องการสภาวะที่เป็นกรดสูง (pH ประมาณ 3.5) เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพ การนำไปละลายน้ำโดยตรงและปรับ pH ไปที่ 7 ในขั้นตอนสุดท้าย จะทำให้ Vitamin C ไม่เสถียรและเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็วค่ะ
  2. การเปลี่ยนเป็น Ethyl Ascorbic Acid: การเปลี่ยนมาใช้ Ethyl Ascorbic Acid (3-O-Ethyl Ascorbic Acid) สามารถทำได้ค่ะ เนื่องจาก Ethyl Ascorbic Acid เป็นอนุพันธ์ Vitamin C ที่มีความเสถียรสูงกว่า L-Ascorbic Acid และสามารถละลายน้ำได้ อย่างไรก็ตาม Ethyl Ascorbic Acid ทำงานได้ดีในช่วง pH ที่เป็นกรดอ่อนๆ ถึงกลางๆ (ประมาณ 4.0-5.5 หรือบางข้อมูลถึง 6.0) การปรับ pH สุดท้ายไปที่ 7 ยังคงสูงเกินไปสำหรับประสิทธิภาพสูงสุดของ Ethyl Ascorbic Acid ค่ะ หากต้องการใช้ Ethyl Ascorbic Acid แนะนำให้ปรับ pH สุดท้ายของสูตรให้อยู่ในช่วงประมาณ 4.0-5.5 จะเหมาะสมกว่าค่ะ
  3. การตัด Vitamin C ออก: หากตัด Vitamin C ออก ส่วนผสมและวิธีทำที่เหลือโดยรวมมีความเป็นไปได้ในการทำเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์ค่ะ
    • ส่วนผสมที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสารที่ละลายน้ำได้ (Panthenol, Sodium PCA, Hyaluron, Allantoin, BroadPreserve™, Hydroxyethyl Cellulose, HYDRO PROTEIN, Apple Stem Cell Extract, Sea Kelp Extract) และส่วนที่ละลายในน้ำมัน/อิมัลซิไฟเออร์ (Cetyl Alcohol, Soy Lecithin, Q10, Vitamin E) ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นอิมัลชั่น (เนื้อครีมหรือโลชั่น) ได้
    • วิธีทำที่มีการแยก Water Phase และ Oil Phase แล้วนำมาผสมกัน เป็นขั้นตอนพื้นฐานของการทำอิมัลชั่นค่ะ อย่างไรก็ตาม การเท Water Phase ลงใน Oil Phase มักจะเหมาะกับการทำ W/O Emulsion (น้ำในน้ำมัน) ในขณะที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวส่วนใหญ่มักเป็น O/W Emulsion (น้ำมันในน้ำ) ซึ่งจะใช้วิธีเท Oil Phase ลงใน Water Phase ค่ะ แต่ทั้งสองวิธีก็สามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของอิมัลซิไฟเออร์ที่ใช้
    • การเติมสารที่ไวต่อความร้อน (เช่น Q10, Vitamin E, HYDRO PROTEIN, Apple Stem Cell Extract, Sea Kelp Extract) ในขั้นตอนหลังจากการผสม Water Phase และ Oil Phase และอุณหภูมิเย็นลงแล้ว เป็นวิธีที่ถูกต้องเพื่อรักษาประสิทธิภาพของสารเหล่านั้นค่ะ
    • ข้อสังเกตสำหรับสูตรที่ไม่มี Vitamin C คือ การปรับ pH สุดท้ายไปที่ 7 อาจจะสูงไปเล็กน้อยสำหรับผิว (pH ผิวปกติอยู่ที่ประมาณ 4.5-5.5) แต่ก็ไม่ได้ทำให้สูตร "ทำไม่ได้" เพียงแต่อาจจะไม่ใช่ pH ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผิวค่ะ
    • ความเข้มข้นของ Q10 (5%) และ Apple Stem Cell Extract (5%) ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาความเหมาะสมกับต้นทุนและความต้องการค่ะ

สรุปเกี่ยวกับสูตร: สูตรเดิมที่มี L-Ascorbic Acid ทำไม่ได้ตามวิธีที่ระบุค่ะ หากเปลี่ยนเป็น Ethyl Ascorbic Acid สามารถทำได้ แต่ควรปรับ pH สุดท้ายให้เหมาะสม (ประมาณ 4.0-5.5) หากตัด Vitamin C ออก ส่วนผสมและวิธีทำที่เหลือโดยรวมมีความเป็นไปได้ในการทำเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์ แต่ควรพิจารณาเรื่อง pH สุดท้ายที่เหมาะสมกับผิว (4.5-5.5) และลำดับการผสม Water/Oil Phase อาจส่งผลต่อประเภทของอิมัลชั่นที่ได้ค่ะ

เกี่ยวกับวิธีการใช้กระดาษวัดค่า pH (แบบ 4 จุด)

จากคำถามของคุณลูกค้า mm.bytanda และคุณลูกค้า a5a_god ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ

  1. วิธีใช้: ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่และโดยทั่วไปสำหรับกระดาษวัดค่า pH แบบนี้ ให้จุ่มกระดาษทดสอบลงใน ส่วนที่เป็นของเหลว ของผลิตภัณฑ์ (เช่น น้ำใน Water Phase, เซรั่ม, เอสเซ้นส์) ให้กระดาษเปียกชุ่มดี จากนั้น นำกระดาษออกจากของเหลว แล้ววางทิ้งไว้บนพื้นผิวที่สะอาดและแห้ง
  2. ระยะเวลาในการอ่านค่า: ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ให้ทิ้งไว้ประมาณ 1-3 นาที หรือจนกว่าสีบนกระดาษจะหยุดเปลี่ยนและคงที่ แล้วจึงนำไปเทียบกับตารางสีบนกล่องค่ะ ไม่จำเป็นต้องแช่ทิ้งไว้ตลอดเวลาค่ะ การแช่ไว้นานเกินไปอาจทำให้สีบนกระดาษละลายออกมาได้
  3. สีละลายออกมา: เป็นไปได้ที่สีจากกระดาษทดสอบจะละลายออกมาในผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะหากแช่ไว้นานหรือผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมบางอย่างที่ทำปฏิกิริยากับสีกระดาษค่ะ แนะนำให้จุ่มแค่พอเปียกแล้วนำขึ้นมาวางรออ่านค่าตามเวลาที่แนะนำเพื่อลดปัญหานี้ค่ะ สีที่ละลายออกมาปริมาณน้อยๆ มักจะไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงค่ะ
  4. การทดสอบกับครีม: กระดาษวัดค่า pH ชนิดนี้ออกแบบมาสำหรับวัดค่าในของเหลว การบีบครีมมาทาบนกระดาษอาจทำให้วัดค่าได้ไม่แม่นยำเท่าที่ควรค่ะ หากต้องการวัดค่า pH ของเนื้อครีม อาจจะต้องผสมครีมกับน้ำในอัตราส่วนที่กำหนด (เช่น 1:1 หรือ 1:10) เพื่อให้ได้ส่วนที่เป็นของเหลวเพียงพอสำหรับจุ่มกระดาษทดสอบค่ะ
  5. การอ่านค่าจากแถบสี 4 จุด: กระดาษวัดค่า pH แบบ 4 จุด แต่ละจุดจะมีอินดิเคเตอร์ที่ไวต่อช่วง pH ที่แตกต่างกัน เพื่อให้การวัดครอบคลุมช่วง pH ที่กว้างขึ้นและมีความแม่นยำมากขึ้นค่ะ ในการอ่านค่าที่แม่นยำที่สุด สีของแถบทั้ง 4 จุดบนกระดาษที่ทดสอบแล้ว ควรจะตรงกับแถบสีทั้ง 4 จุดในช่องค่า pH ใดค่า pH หนึ่งบนตารางสีบนกล่องค่ะ หากสีไม่ตรงกันทั้ง 4 จุด ให้พยายามหาช่องค่า pH ที่สีของแถบทั้ง 4 จุดบนกระดาษ ใกล้เคียงที่สุด กับสีบนตารางค่ะ การที่สีไม่ตรงกันเป๊ะอาจเกิดจากค่า pH อยู่ระหว่างช่องค่าบนตาราง หรือมีส่วนผสมบางอย่างในผลิตภัณฑ์ที่รบกวนการทำงานของอินดิเคเตอร์บนกระดาษได้ค่ะ การเทียบสีที่ใกล้เคียงที่สุดเป็นวิธีที่ถูกต้องในการประมาณค่า pH ในกรณีที่สีไม่ตรงกันทั้งหมดค่ะ

หวังว่าคำอธิบายนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ หากมีคำถามเพิ่มเติมสอบถามได้เลยค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Allantoin
Allantoin
เครื่องสำอาง
Sea Kelp Extract
Sea Kelp Extract
เครื่องสำอาง
Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)
Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)
เครื่องสำอาง
Apple Stem Cell Extract (AppleCell™ Liquid)
Apple Stem Cell Extract (AppleCell™ Liquid)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Sodium PCA 50%
Sodium PCA 50%
เครื่องสำอาง
Cetyl Alcohol
Cetyl Alcohol
เครื่องสำอาง
Soy Lecithin (Natural Emulsifier)
Soy Lecithin (Natural Emulsifier)
เครื่องสำอาง
Hydroxypropyl Methylcellulose (HPMC, 5000cP, 68C Gel)
Hydroxypropyl Methylcellulose (HPMC, 5000cP, 68C Gel)
เครื่องสำอาง
Double Hyaluron Liquid
Double Hyaluron Liquid
เครื่องสำอาง
Coenzyme Q10 Extra
Coenzyme Q10 Extra
เครื่องสำอาง