คำถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
คำถาม
[Reply from a5a_god]: สวัสดีทีมงานผู้น่ารักครับ
คือตอนนี้ สงสัยมากเลยครับสำหรับวิธีการใช้กระดาษวัดค่า pH (ซื้อจากที่นี้ครับ)
ทางเวปแจ้งว่า วิธีใช้ จุ่มกระดาษทดสอบ ลงในของเหลวที่ต้องการทดสอบ 5วินาที นำออกจากของเหลว และทิ้งไว้ 30วินาที และอ่านค่าสี โดยการเทียบกับตารางค่า pH บนกล่อง
ปัญหาที่พบ คือ
1. จุ่มลงใน Skin care ของแต่ละเนื้อ เช่น ครีม เซรั่ม เอสเซ้น(น้ำตบ) แล้วแช่ทิ้งไว้ 5 นาที หรือแค่จุ่มลงไปให้ฉ่ำและเอาออกเลย หลังจากนั้นรอ ให้แห้ง อ่านค่าข้างกล่อง .... ย้อนไปช่วงวัยเด็กผมเคยใช้ตอนประถม ครูให้ใช้แค่เอาสารตัวใดตัวนึง มาหยดใส่ แล้วอ่านค่าคับ
2. เมื่อผมแช่ไว้ สีของกระดาษละลายลงไปในผลิตภัณฑ์ บางทีเป็นสีเหลือง บางทีเอสเซ้นเป็นสีเลย 55555 ตกใจมากไม่รู้จะมีผลอะไรมั้ยกับสีที่ละลายออกมา เพราะผมเอาไปแช่ในน้ำป้าเจี็ยบซึ่ง ราคาอย่างว่าสูงชิบ T_T จะทิ้งก็ไม่ใจกล้าพอต้องใช้ต่อไป
3. ผมลองบีบครีม มาทาลงบนกระดาษ แล้วทิ้งไว้ 5 นาที ตามที่ในเว็ปบอก พอเช็ดออกเพื่อดูค่า สีก็หลุดออกมาเหมือนกันคับ ไม่ทราบว่านี้คือปกติใช่ปะครับ เพราะผมไม่เคยใช้กระดาษลิตมัสแบบ 4 จุดมาก่อน
4. เวลาอ่านค่านี้ เราต้องดูตามแทบสี ให้ตรงกันทั้ง 4 จุดเลยมั้ย เพราะผมเทียบแล้วหลายรอบ ไม่เคยตรงกับแทบสีที่วัดค่าเลยครับ 5555 ตอนนี้เลยเข้าใจว่า ให้อ่านค่าโดยการดูสีที่ใกล้เคียงสุด เช่น pH 4 ก็ดูว่าถ้าตรงกัน 3 สีในค่า pH นี้ ก็ถือว่า ผลการทดสอบ คือ pH ที่ 4 แบบนี้ปะครับ
.......รบกวนหน่อยนะครับเนื่องจากผมหากระทู้ในนี้แล้ว ยังไม่เจอวิธีการใช้กระดาษตามที่ผมสงสัยเลย......
คำตอบ
สวัสดีค่ะ เข้าใจว่าคุณลูกค้าต้องการทำสูตรลดเลือนริ้วรอยและมีคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของสูตรและวิธีทำ รวมถึงวิธีการใช้กระดาษวัดค่า pH นะคะ จะขอตอบเป็นข้อๆ ตามที่สอบถามมาค่ะ
เกี่ยวกับสูตรและวิธีทำ
- สูตรเดิมที่มี L-Ascorbic Acid: ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งไปแล้ว สูตรนี้ไม่สามารถทำได้ตามวิธีที่ระบุมาค่ะ เนื่องจาก Vitamin C ชนิด L-Ascorbic Acid (Ultra-Fine) ไม่สามารถละลายน้ำได้โดยตรง และต้องการสภาวะที่เป็นกรดสูง (pH ประมาณ 3.5) เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพ การนำไปละลายน้ำโดยตรงและปรับ pH ไปที่ 7 ในขั้นตอนสุดท้าย จะทำให้ Vitamin C ไม่เสถียรและเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็วค่ะ
- การเปลี่ยนเป็น Ethyl Ascorbic Acid: การเปลี่ยนมาใช้ Ethyl Ascorbic Acid (3-O-Ethyl Ascorbic Acid) สามารถทำได้ค่ะ เนื่องจาก Ethyl Ascorbic Acid เป็นอนุพันธ์ Vitamin C ที่มีความเสถียรสูงกว่า L-Ascorbic Acid และสามารถละลายน้ำได้ อย่างไรก็ตาม Ethyl Ascorbic Acid ทำงานได้ดีในช่วง pH ที่เป็นกรดอ่อนๆ ถึงกลางๆ (ประมาณ 4.0-5.5 หรือบางข้อมูลถึง 6.0) การปรับ pH สุดท้ายไปที่ 7 ยังคงสูงเกินไปสำหรับประสิทธิภาพสูงสุดของ Ethyl Ascorbic Acid ค่ะ หากต้องการใช้ Ethyl Ascorbic Acid แนะนำให้ปรับ pH สุดท้ายของสูตรให้อยู่ในช่วงประมาณ 4.0-5.5 จะเหมาะสมกว่าค่ะ
- การตัด Vitamin C ออก: หากตัด Vitamin C ออก ส่วนผสมและวิธีทำที่เหลือโดยรวมมีความเป็นไปได้ในการทำเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์ค่ะ
- ส่วนผสมที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสารที่ละลายน้ำได้ (Panthenol, Sodium PCA, Hyaluron, Allantoin, BroadPreserve™, Hydroxyethyl Cellulose, HYDRO PROTEIN, Apple Stem Cell Extract, Sea Kelp Extract) และส่วนที่ละลายในน้ำมัน/อิมัลซิไฟเออร์ (Cetyl Alcohol, Soy Lecithin, Q10, Vitamin E) ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นอิมัลชั่น (เนื้อครีมหรือโลชั่น) ได้
- วิธีทำที่มีการแยก Water Phase และ Oil Phase แล้วนำมาผสมกัน เป็นขั้นตอนพื้นฐานของการทำอิมัลชั่นค่ะ อย่างไรก็ตาม การเท Water Phase ลงใน Oil Phase มักจะเหมาะกับการทำ W/O Emulsion (น้ำในน้ำมัน) ในขณะที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวส่วนใหญ่มักเป็น O/W Emulsion (น้ำมันในน้ำ) ซึ่งจะใช้วิธีเท Oil Phase ลงใน Water Phase ค่ะ แต่ทั้งสองวิธีก็สามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของอิมัลซิไฟเออร์ที่ใช้
- การเติมสารที่ไวต่อความร้อน (เช่น Q10, Vitamin E, HYDRO PROTEIN, Apple Stem Cell Extract, Sea Kelp Extract) ในขั้นตอนหลังจากการผสม Water Phase และ Oil Phase และอุณหภูมิเย็นลงแล้ว เป็นวิธีที่ถูกต้องเพื่อรักษาประสิทธิภาพของสารเหล่านั้นค่ะ
- ข้อสังเกตสำหรับสูตรที่ไม่มี Vitamin C คือ การปรับ pH สุดท้ายไปที่ 7 อาจจะสูงไปเล็กน้อยสำหรับผิว (pH ผิวปกติอยู่ที่ประมาณ 4.5-5.5) แต่ก็ไม่ได้ทำให้สูตร "ทำไม่ได้" เพียงแต่อาจจะไม่ใช่ pH ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผิวค่ะ
- ความเข้มข้นของ Q10 (5%) และ Apple Stem Cell Extract (5%) ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาความเหมาะสมกับต้นทุนและความต้องการค่ะ
สรุปเกี่ยวกับสูตร: สูตรเดิมที่มี L-Ascorbic Acid ทำไม่ได้ตามวิธีที่ระบุค่ะ หากเปลี่ยนเป็น Ethyl Ascorbic Acid สามารถทำได้ แต่ควรปรับ pH สุดท้ายให้เหมาะสม (ประมาณ 4.0-5.5) หากตัด Vitamin C ออก ส่วนผสมและวิธีทำที่เหลือโดยรวมมีความเป็นไปได้ในการทำเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์ แต่ควรพิจารณาเรื่อง pH สุดท้ายที่เหมาะสมกับผิว (4.5-5.5) และลำดับการผสม Water/Oil Phase อาจส่งผลต่อประเภทของอิมัลชั่นที่ได้ค่ะ
เกี่ยวกับวิธีการใช้กระดาษวัดค่า pH (แบบ 4 จุด)
จากคำถามของคุณลูกค้า mm.bytanda และคุณลูกค้า a5a_god ขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ
- วิธีใช้: ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่และโดยทั่วไปสำหรับกระดาษวัดค่า pH แบบนี้ ให้จุ่มกระดาษทดสอบลงใน ส่วนที่เป็นของเหลว ของผลิตภัณฑ์ (เช่น น้ำใน Water Phase, เซรั่ม, เอสเซ้นส์) ให้กระดาษเปียกชุ่มดี จากนั้น นำกระดาษออกจากของเหลว แล้ววางทิ้งไว้บนพื้นผิวที่สะอาดและแห้ง
- ระยะเวลาในการอ่านค่า: ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ให้ทิ้งไว้ประมาณ 1-3 นาที หรือจนกว่าสีบนกระดาษจะหยุดเปลี่ยนและคงที่ แล้วจึงนำไปเทียบกับตารางสีบนกล่องค่ะ ไม่จำเป็นต้องแช่ทิ้งไว้ตลอดเวลาค่ะ การแช่ไว้นานเกินไปอาจทำให้สีบนกระดาษละลายออกมาได้
- สีละลายออกมา: เป็นไปได้ที่สีจากกระดาษทดสอบจะละลายออกมาในผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะหากแช่ไว้นานหรือผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมบางอย่างที่ทำปฏิกิริยากับสีกระดาษค่ะ แนะนำให้จุ่มแค่พอเปียกแล้วนำขึ้นมาวางรออ่านค่าตามเวลาที่แนะนำเพื่อลดปัญหานี้ค่ะ สีที่ละลายออกมาปริมาณน้อยๆ มักจะไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงค่ะ
- การทดสอบกับครีม: กระดาษวัดค่า pH ชนิดนี้ออกแบบมาสำหรับวัดค่าในของเหลว การบีบครีมมาทาบนกระดาษอาจทำให้วัดค่าได้ไม่แม่นยำเท่าที่ควรค่ะ หากต้องการวัดค่า pH ของเนื้อครีม อาจจะต้องผสมครีมกับน้ำในอัตราส่วนที่กำหนด (เช่น 1:1 หรือ 1:10) เพื่อให้ได้ส่วนที่เป็นของเหลวเพียงพอสำหรับจุ่มกระดาษทดสอบค่ะ
- การอ่านค่าจากแถบสี 4 จุด: กระดาษวัดค่า pH แบบ 4 จุด แต่ละจุดจะมีอินดิเคเตอร์ที่ไวต่อช่วง pH ที่แตกต่างกัน เพื่อให้การวัดครอบคลุมช่วง pH ที่กว้างขึ้นและมีความแม่นยำมากขึ้นค่ะ ในการอ่านค่าที่แม่นยำที่สุด สีของแถบทั้ง 4 จุดบนกระดาษที่ทดสอบแล้ว ควรจะตรงกับแถบสีทั้ง 4 จุดในช่องค่า pH ใดค่า pH หนึ่งบนตารางสีบนกล่องค่ะ หากสีไม่ตรงกันทั้ง 4 จุด ให้พยายามหาช่องค่า pH ที่สีของแถบทั้ง 4 จุดบนกระดาษ ใกล้เคียงที่สุด กับสีบนตารางค่ะ การที่สีไม่ตรงกันเป๊ะอาจเกิดจากค่า pH อยู่ระหว่างช่องค่าบนตาราง หรือมีส่วนผสมบางอย่างในผลิตภัณฑ์ที่รบกวนการทำงานของอินดิเคเตอร์บนกระดาษได้ค่ะ การเทียบสีที่ใกล้เคียงที่สุดเป็นวิธีที่ถูกต้องในการประมาณค่า pH ในกรณีที่สีไม่ตรงกันทั้งหมดค่ะ
หวังว่าคำอธิบายนี้จะเป็นประโยชน์นะคะ หากมีคำถามเพิ่มเติมสอบถามได้เลยค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Allantoin

Sea Kelp Extract

Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)

Apple Stem Cell Extract (AppleCell™ Liquid)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Sodium PCA 50%

Cetyl Alcohol

Soy Lecithin (Natural Emulsifier)

Double Hyaluron Liquid
