คำถามเกี่ยวกับสูตรเซรั่ม: เนื้อสัมผัส, pH, การกันเสีย และการผสม

ถามโดย: pongpat.o เมื่อ: December 02, 2021 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

มีสูตรเซรั่มดังนี้ค่ะ:

  • Hyaluronic Acid (10 kDa) 0.5%
  • Arginine 1%
  • Glycine 1.5%
  • L-Proline 1.5%
  • Leucine 1%
  • L-Lysine 1%
  • Epidermal Growth Factor 4%
  • Ethyl Ascorbic acid (Vitamin C Ethyl Ether) 5%
  • Vitamin B3 6%
  • Vitamin B5 3%
  • Dimethylaminoethanol (DMAE) 4%
  • Adenosine Liposome 3%
  • Allantoin 0.5%
  • Laurocapram (Water Soluble) 2%
  • Trehalose 1%
  • Glycerin 3%
  • Pro Polymer™ 0.4%
  • Wrinkle-Lax™ 0.5%
  • Ume Extract 2%
  • Japanese Cedar 2%
  • Superoxide Dismutase Liposome (SOD) 5%
  • Disodium EDTA 0.2%
  • ActiveProtec™ UV 1%
  • ActiveProtec™ OX 1%
  • L-Glutathione 2%
  • Phenoxyethanol SA 0.5%
  • Rose Water (Rosa Damascena) 47.4%
  • รวม 100%

ขอสอบถามดังนี้ค่ะ:

  1. สูตรนี้สามารถผสมเป็นเจลเซรั่มที่สามารถใช้กับขวดปั๊มสุญญากาศได้ไหมคะ
  2. pH ของสูตรนี้คาดว่าจะต่ำกว่า 6 ไหมคะ
  3. สูตรนี้ใช้ Rose Water เป็นเบสเซรั่ม สามารถทำได้ไหมคะ
  4. สูตรนี้ผสมได้โดยไม่ใช้ความร้อนหรือความร้อนต่ำได้ไหมคะ
  5. ใน Rose Water มีสารกันเสีย Phenoxyethanol อยู่แล้ว จำเป็นต้องเติมเพิ่มไหมคะ (ในนี้เติมเพิ่มเป็น Phenoxyethanol SA 0.5% ค่ะ สามารถเปลี่ยนเป็น Mild Preserved Eco™ ได้ไหมคะ)

หากมีคำแนะนำใดเพิ่มเติมรบกวนแจ้งได้เลยนะคะ จะสั่งผลิตด้วย ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ

การประเมินสูตรและคำแนะนำ

นี่คือการประเมินสูตรเซรั่มที่คุณเสนอและคำตอบสำหรับคำถามของคุณ:

  • สูตรนี้สามารถผสมเป็นเจลเซรั่มที่สามารถใช้กับขวดปั๊มสุญญากาศได้ไหมคะ
    ได้ค่ะ สูตรนี้สามารถผสมเป็นเจลเซรั่มที่เหมาะสำหรับใช้กับขวดปั๊มสุญญากาศได้ การใส่ Pro Polymer™ ที่ 0.4% จะช่วยสร้างเนื้อเจล ความเข้มข้นนี้อยู่ในช่วงต่ำของปริมาณที่แนะนำสำหรับ Pro Polymer™ ซึ่งน่าจะทำให้ได้เนื้อเจลที่บางเบา เหมาะสำหรับการกดออกจากขวดปั๊มสุญญากาศค่ะ

  • pH ของสูตรนี้คาดว่าจะต่ำกว่า 6 ไหมคะ
    จากส่วนประกอบในสูตร คาดว่าค่า pH ของสูตรนี้จะ สูงกว่า 6 และอาจจะสูงกว่ามาก เนื่องจากมีส่วนประกอบที่เป็นด่าง เช่น L-Arginine (1%) และ L-Lysine (1%) ในปริมาณสูง ในขณะที่สารออกฤทธิ์หลายชนิดในสูตร เช่น Epidermal Growth Factor, Ethyl Ascorbic Acid, Adenosine Liposome, Glutathione, Japanese Cedar และ Ume Extract ต้องการค่า pH อยู่ระหว่างประมาณ 3.0 ถึง 6.5 เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุด ค่า pH ที่สูงซึ่งเกิดจากส่วนประกอบที่เป็นด่างจะส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพและความเสถียรของสารออกฤทธิ์ที่ไวต่อค่า pH เหล่านี้ ดังนั้น จำเป็นต้องมีการปรับค่า pH โดยใช้ส่วนประกอบที่เป็นกรด เพื่อนำค่า pH ของสูตรให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม (ควรอยู่ระหว่าง 3.5 ถึง 6.0) หลังจากผสมส่วนประกอบทั้งหมดแล้ว

  • สูตรนี้ใช้ Rose Water เป็นเบสเซรั่ม สามารถทำได้ไหมคะ
    ได้ค่ะ สามารถใช้ Rose Water เป็นเบสสำหรับสูตรเซรั่มนี้ได้ Rose Water เป็นส่วนประกอบหลัก (47.4%) ของส่วนที่เป็นน้ำ และนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น โทนเนอร์และมอยส์เจอร์ไรเซอร์ค่ะ

  • สูตรนี้ผสมได้โดยไม่ใช้ความร้อนหรือความร้อนต่ำได้ไหมคะ
    ได้ค่ะ สูตรนี้ ต้อง ผสมโดยใช้กระบวนการเย็น หรือใช้ความร้อนต่ำมาก (ต่ำกว่า 40°C) เนื่องจากสารออกฤทธิ์หลายชนิด รวมถึง Epidermal Growth Factor, DMAE, Adenosine Liposome, Glutathione, Japanese Cedar, Superoxide Dismutase Liposome, Ume Extract, Wrinkle-Lax, Laurocapram, Phenoxyethanol SA และ Wrinkle-Lax มีความไวต่อความร้อนและอาจเสื่อมสภาพได้หากสัมผัสกับอุณหภูมิสูง ควรเติมสารที่ไวต่อความร้อนในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากทำเบสหลักเสร็จและเย็นลงแล้วค่ะ

  • ใน Rose Water มีสารกันเสีย Phenoxyethanol อยู่แล้ว จำเป็นต้องเติมเพิ่มไหมคะ (ในนี้เติมเพิ่มเป็น Phenoxyethanol SA 0.5% ค่ะ สามารถเปลี่ยนเป็น Mild Preserved Eco™ ได้ไหมคะ)
    Rose Water มีสารกันเสีย Phenoxyethanol อยู่ 0.5% ในสูตรของคุณมีการเติม Phenoxyethanol SA อีก 0.5% ซึ่งเป็นสารกันเสียแบบ Broad-spectrum ที่ประกอบด้วย Phenoxyethanol, Caprylyl Glycol และ Sorbic Acid เนื่องจาก Rose Water มีปริมาณน้อยกว่า 60% ของสูตรทั้งหมด จึงจำเป็นต้องมีการเติมสารกันเสียเพิ่มเติมสำหรับส่วนประกอบอื่นๆ การใช้สารกันเสียใน Rose Water ร่วมกับ Phenoxyethanol SA ที่เติมเข้าไป ควรให้การป้องกันการเจริญเติบโตของจุลชีพที่เพียงพอสำหรับสูตรนี้ แต่แนะนำให้ทำการทดสอบ Challenge Test เสมอเพื่อยืนยันประสิทธิภาพค่ะ

    การเปลี่ยน Phenoxyethanol SA เป็น Mild Preserved Eco™ ที่ 0.5% ไม่แนะนำ ให้ใช้แทนโดยตรงในด้านประสิทธิภาพการเป็นสารกันเสีย Mild Preserved Eco™ เป็นหลักคือสารเสริมประสิทธิภาพและสารต้านจุลชีพแบบอ่อนโยน ไม่ใช่สารกันเสีย Broad-spectrum ที่ใช้แทน Phenoxyethanol SA ในความเข้มข้นนี้ การใช้ Mild Preserved Eco™ เพียง 0.5% แทน Phenoxyethanol SA อาจทำให้การป้องกันการเจริญเติบโตของจุลชีพไม่เพียงพอสำหรับสูตรที่มีความซับซ้อนและมีส่วนประกอบหลากหลายเช่นนี้ หากคุณต้องการใช้ Mild Preserved Eco™ อาจต้องใช้ในความเข้มข้นที่สูงขึ้น (1-2%) และอาจต้องใช้ร่วมกับ Phenoxyethanol ที่มาจาก Rose Water ซึ่งต้องมีการทดสอบอย่างละเอียด การใช้ Phenoxyethanol SA ร่วมกับสารกันเสียใน Rose Water น่าจะให้การป้องกันที่แข็งแรงกว่าค่ะ

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • การปรับค่า pH: ดังที่กล่าวไป การปรับค่า pH เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หลังจากผสมส่วนประกอบทั้งหมดแล้ว ให้วัดค่า pH และค่อยๆ เติมสารละลายที่เป็นกรด (เช่น สารละลาย Citric Acid หรือ Lactic Acid) ทีละน้อยพร้อมกับคนหรือปั่น จนกว่าจะได้ค่า pH ที่ต้องการ (3.5-6.0) ควรตรวจสอบค่า pH อย่างระมัดระวังในระหว่างการปรับ
  • ขั้นตอนการผสม: ขั้นตอนการผสมที่แนะนำคือ ผสมส่วนประกอบที่เป็นน้ำก่อน (Rose Water, Disodium EDTA, Glycerin, Trehalose, กรดอะมิโนที่ละลายน้ำได้ เช่น Glycine, Proline, Leucine, Lysine และ Arginine) จากนั้นให้ไฮเดรต Pro Polymer™ ตามคำแนะนำ เมื่อได้เบสเจลแล้วและเย็นลง (หากมีการอุ่นในตอนแรก) ให้เติมสารออกฤทธิ์ที่ไวต่อความร้อน (Epidermal Growth Factor, DMAE, Adenosine Liposome, Glutathione, Japanese Cedar, Superoxide Dismutase Liposome, Ume Extract, Wrinkle-Lax, Laurocapram, Ethyl Ascorbic Acid, Vitamin B3, Vitamin B5, ActiveProtec™ UV, ActiveProtec™ OX) ทีละชนิด โดยให้แน่ใจว่าแต่ละชนิดกระจายตัวหรือละลายหมดก่อนเติมชนิดต่อไป หลังจากเติมสารออกฤทธิ์ทั้งหมดแล้ว ให้ปรับค่า pH สุดท้ายจึงเติม Phenoxyethanol SA และผสมให้เข้ากันดี
  • ความสามารถในการละลาย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนประกอบที่เป็นผงทั้งหมดละลายในส่วนที่เป็นน้ำจนหมดก่อนเติมสารก่อเจลหรือส่วนประกอบอื่นๆ กรดอะมิโนบางชนิดมีความสามารถในการละลายจำกัด
  • Challenge Test: ควรทำการทดสอบ Microbial Challenge Test กับสูตรสำเร็จรูปเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบสารกันเสียมีประสิทธิภาพค่ะ