ทำความเข้าใจคุณสมบัติ Ionic/Non-ionic ความเข้ากันได้ของส่วนผสม และ Disodium EDTA ในสูตรเครื่องสำอาง
ถามโดย: monrada16
เมื่อ: October 14, 2014
ประเภทผลิตภัณฑ์:
เครื่องสำอาง
คำถาม
รบกวนช่วยอธิบายความแตกต่างระหว่างส่วนผสมชนิดมีขั้ว (ionic) และไม่มีขั้ว (non-ionic) ในสูตรเครื่องสำอางค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยากทราบว่า:
- อะไรเป็นตัวกำหนดว่าส่วนผสมนั้นๆ เป็นชนิดมีขั้ว (anionic/cationic) หรือไม่มีขั้ว (non-ionic)?
- ส่วนผสมเครื่องสำอางทั่วไป เช่น Natural Oil, Vitamin E, Collagen หรือ CoQ10 มีคุณสมบัติเป็น ionic หรือไม่?
- ส่วนผสมชนิด ionic/non-ionic ประเภทต่างๆ มีปฏิกิริยาต่อกันอย่างไร? มีปัญหาเรื่องความเข้ากันได้หรือไม่ (เช่น anionic กับ cationic)?
Disodium EDTA
มีหน้าที่อะไรในสูตรตำรับ และเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติ ionic ของส่วนผสมอื่นๆ หรือไม่?- การใส่
Disodium EDTA
ในสูตรโลชั่นปลอดภัยและมีประโยชน์หรือไม่ และมีส่วนผสมใดบ้างที่ไม่ควรผสมกับDisodium EDTA
(เช่น Vitamin C, Copper Peptide)?
คำตอบ
การทำความเข้าใจคุณสมบัติ Ionic / Non-ionic และ Disodium EDTA ในสูตรตำรับ
จากข้อมูลที่ได้รับ สรุปเกี่ยวกับคุณสมบัติ ionic / non-ionic และการใช้ Disodium EDTA ได้ดังนี้ค่ะ
คุณสมบัติ Ionic / Non-ionic
- คำว่า ionic (anionic/cationic) และ non-ionic ส่วนใหญ่จะหมายถึง ขั้วของสารลดแรงตึงผิว (surfactants) และสารประสาน (emulsifiers) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดแรงตึงผิว เช่น สารซักฟอก และสารที่ช่วยให้น้ำกับน้ำมันเข้ากันได้
- ส่วนผสมอื่นๆ ทั่วไปในเครื่องสำอางมักจะไม่มีการแบ่งประเภทตามขั้วแบบนี้
- โดยทั่วไปสามารถทราบชนิดของขั้วได้จากชื่อทางเคมีหรือประเภทของสารนั้นๆ เช่น:
- Anionic (ประจุลบ): Sodium Lauroyl Glutamate (AminoWash™), Sodium lauryl sulfate (SLS), Sodium Laureth sulfate (SLES)
- Non-ionic (ไม่มีประจุ): Lauryl Glucoside, PEG-7 Glyceryl Cocoate (Coco Wash™)
- Cationic (ประจุบวก): Cetrimonium Chloride (CTAC) มักใช้เป็นสารปรับสภาพ (conditioning agent) มากกว่าสารทำความสะอาดหลัก
- Amphoteric (มีทั้งสองขั้ว): Cocamidopropyl Betaine มักมีความอ่อนโยน
ความเข้ากันได้ของสารลดแรงตึงผิว
- ข้อควรระวังหลักในการผสมคือ การผสมสารลดแรงตึงผิวชนิด anionic (ประจุลบ) กับ cationic (ประจุบวก) เข้าด้วยกัน เพราะอาจทำปฏิกิริยาและตกตะกอนได้
- สารลดแรงตึงผิวชนิด non-ionic และ amphoteric โดยทั่วไปสามารถเข้ากันได้กับสารลดแรงตึงผิวทุกชนิด
- สารลดแรงตึงผิวที่มีขั้วเดียวกัน (เช่น anionic + anionic) สามารถเข้ากันได้ดี
การผสมกับส่วนผสมอื่นๆ
- ข้อมูลที่ได้รับไม่ได้ระบุว่าส่วนผสมอย่าง Natural Oil, Vitamin E, Collagen หรือ CoQ10 ไม่สามารถผสมกับสารที่มีประจุหรือสารลดแรงตึงผิวที่มีประจุได้ ปัญหาความเข้ากันได้ของสารลดแรงตึงผิวที่กล่าวถึงส่วนใหญ่เป็นเรื่องระหว่าง ประเภท ของสารลดแรงตึงผิวที่แตกต่างกันตามขั้วของมัน
Disodium EDTA
- Disodium EDTA ใช้เพื่อ จับ (chelate) ไอออนโลหะที่ไม่ต้องการ ที่อาจปนเปื้อนมากับน้ำ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติ ionic/non-ionic ของสารลดแรงตึงผิวหรือส่วนผสมอื่นๆ โดยตรง
- ไอออนโลหะเหล่านี้อาจทำให้ส่วนผสมบางชนิด (เช่น Vitamin C) ไม่เสถียร หรือส่งผลต่อความใส/ความคงตัวของสูตรได้
- การเติม Disodium EDTA (โดยทั่วไปประมาณ 0.1%) เป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปในสูตรตำรับ โดยเฉพาะสูตรที่มีน้ำ เพื่อช่วยเพิ่มความคงตัวและยืดอายุการเก็บรักษาโดยการจับไอออนเหล่านี้
- แม้ว่าจะเข้ากันได้ดีกับส่วนผสมส่วนใหญ่ (>95% ของสูตร) แต่ก็มีข้อยกเว้นเฉพาะที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น การใช้กับ Copper Peptide เพราะ Disodium EDTA สามารถจับกับทองแดงได้ ทำให้ Copper Peptide เสื่อมประสิทธิภาพลง
- ดังนั้น การใส่ Disodium EDTA ในสูตรโลชั่นมักจะเป็นประโยชน์ต่อความคงตัวโดยรวม ยกเว้นในกรณีที่คุณใช้ส่วนผสมที่ทราบว่าไม่เข้ากันกับสารจับประจุ (chelating agents) เช่น EDTA
สรุปคือ การแบ่งประเภท ionic/non-ionic ส่วนใหญ่ใช้กับสารลดแรงตึงผิว/สารประสาน และมีผลต่อการผสมสารลดแรงตึงผิวประเภทต่างๆ เข้าด้วยกัน ส่วน Disodium EDTA มีบทบาทแยกต่างหาก โดยเน้นที่การจัดการกับไอออนโลหะในเฟสน้ำเพื่อเพิ่มความคงตัวของสูตร และโดยทั่วไปสามารถใส่ได้ ยกเว้นในกรณีที่มีส่วนผสมเฉพาะในสูตรของคุณที่ทราบว่าไวต่อสารจับประจุค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Cocamidopropyl Betaine
เครื่องสำอาง

Cetrimonium Chloride (CTAC)
เครื่องสำอาง

Lauryl Glucoside
เครื่องสำอาง

Coco Wash™ (PEG-7 Glyceryl Cocoate)
เครื่องสำอาง

AminoWash™ (Sodium Lauroyl Glutamate, Fine)
เครื่องสำอาง