บอดี้โลชั่น DIY: คำถามเรื่อง pH, อิมัลซิไฟเออร์, เนื้อสัมผัส และการใช้ร่วมกับ BHA
ถามโดย: saensaeb1989
เมื่อ: January 31, 2015
ประเภทผลิตภัณฑ์:
เครื่องสำอาง
คำถาม
กำลังทำบอดี้โลชั่น DIY ครั้งแรก โดยใช้ส่วนผสมดังนี้:
- N-Acetyl Glucosamine (NAG)
- Vitamin B3 (Niacinamide)
- Lemon Peel Bioferment
- Rich Cream Maker (อิมัลซิไฟเออร์)
- Rosehip Oil
- ส่วนผสมเบสอื่นๆ
มีคำถามเกี่ยวกับการทำสูตรดังนี้ครับ:
- ความเข้ากันได้ของ pH: NAG และ B3 มักระบุว่าทำงานได้ดีที่ pH ประมาณ 5-6 ส่วน Lemon Peel Bioferment มักต้องการ pH ต่ำ (ประมาณ 3) ส่วนผสมสามตัวนี้สามารถใช้ร่วมกันในสูตรเดียวกันได้หรือไม่? และช่วง pH ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับส่วนผสมเหล่านี้คือเท่าใด?
- การใช้อิมัลซิไฟเออร์ Rich Cream Maker: Rich Cream Maker จำเป็นต้องใช้ความร้อนในการทำอิมัลชันหรือไม่? ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับส่วนของน้ำมันที่มี Rosehip oil เพื่อรักษาสภาพของน้ำมันครับ
- การทำงานร่วมกับ BHA: โลชั่นนี้สามารถใช้หลังจากทาผลิตภัณฑ์ BHA ได้หรือไม่? ถ้าได้ ควรเว้นระยะเวลานานเท่าใดหลังจากทา BHA แล้วจึงทาโลชั่น?
- การปรับปรุงเนื้อสัมผัส: Rich Cream Maker ดูเหมือนจะให้เนื้อที่ข้น จะปรับปรุงความลื่นในการทาและทำให้โลชั่นไม่ข้นหรือเหนอะหนะเหมือนโลชั่นทั่วไปได้อย่างไร? ได้รับคำแนะนำให้เพิ่ม
Cyclomethicone
,Powder Cream
, หรือMatteSilica
อยากทราบว่าควรใช้ในสัดส่วนเท่าใดสำหรับสารปรับเนื้อสัมผัสเหล่านี้?
คำตอบ
สวัสดีครับ ยอดเยี่ยมมากเลยครับที่เริ่มทำสกินแคร์ DIY ด้วยบอดี้โลชั่นขวดแรกของคุณ! ดูเหมือนคุณได้รวบรวมสูตรที่น่าสนใจพร้อมส่วนผสมที่ดีเยี่ยมที่เน้นเรื่องความรู้สึกผิวและความกระจ่างใสครับ
มาตอบคำถามของคุณและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่คุณได้รับกันครับ:
- ความเข้ากันได้ของ pH (NAG, B3, Lemon Peel Bioferment): คุณเข้าใจถูกต้องครับว่า N-Acetyl Glucosamine และ Vitamin B3 (Niacinamide) มักจะทำงานได้ดีในช่วง pH ประมาณ 5-6 สำหรับ Lemon Peel Bioferment ตามที่หนึ่งในคำตอบได้กล่าวไว้ ข้อกำหนดอาจไม่ใช่ pH 3 ที่เข้มงวดสำหรับการทำงาน แต่เป็นช่วง pH สุดท้ายของผลิตภัณฑ์ที่ควรอยู่ในช่วงที่กว้างขึ้น (เช่น 3.5-7) โดยมีเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับความเข้ากันได้กับผิวและความเสถียรของส่วนผสม ซึ่งมักจะอยู่ที่ประมาณ pH 4-6 ช่วงนี้ควรจะเหมาะสมสำหรับส่วนผสมทั้งสามตัว (NAG, B3, และ Lemon Peel Bioferment) และยังดีต่อผิวของคุณด้วย ดังนั้น จากข้อมูลนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างส่วนผสมเหล่านี้เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งเรื่อง pH ตราบใดที่คุณปรับ pH สุดท้ายของผลิตภัณฑ์ให้อยู่ในช่วง 4-6 ครับ
- Rich Cream Maker และความร้อน: ข่าวดีครับ! ตามที่ได้รับการยืนยันในคำตอบ Rich Cream Maker ไม่ ต้องการความร้อนในการทำอิมัลชัน คุณสามารถผสมลงในส่วนของน้ำมันได้ที่อุณหภูมิห้อง จากนั้นจึงเติมส่วนของน้ำและผสมให้เข้ากันเพื่อสร้างอิมัลชัน วิธีนี้ช่วยรักษาคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ของน้ำมันที่ไวต่อความร้อนของคุณ เช่น Rosehip ครับ
- การทำงานร่วมกับ BHA: BHA มีความเป็นกรด การทาผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรดทันทีก่อนโลชั่นที่มีสารออกฤทธิ์ที่ไวต่อ pH อาจ ทำให้เกิดปัญหาบางอย่างหรือลดประสิทธิภาพได้ อย่างไรก็ตาม คำแนะนำให้รอ 20-30 นาทีหลังจากทา BHA ก่อนทาโลชั่นของคุณเป็นคำแนะนำที่ดีครับ pH ของผิวจะปรับสมดุลเองตามธรรมชาติค่อนข้างเร็ว การรอจะช่วยให้ pH บนผิวของคุณกลับมาใกล้เคียงระดับปกติ ลดการรบกวนที่อาจเกิดขึ้นกับสารออกฤทธิ์ในโลชั่นของคุณครับ
คำแนะนำเพิ่มเติม:
จากเป้าหมายของคุณและข้อเสนอแนะที่คุณได้รับ มีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมอีกสองสามข้อครับ:
- การปรับปรุงความลื่นในการทา: ตามที่แนะนำในคำตอบหนึ่ง Rich Cream Maker บางครั้งอาจทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์ข้นและเกลี่ยยากกว่าโลชั่นทั่วไปที่ใช้อิมัลซิไฟเออร์หรือสารเติมแต่งอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงความลื่นและความรู้สึกในการทา คุณอาจพิจารณาเพิ่มส่วนผสมเช่น Cyclomethicone (ประมาณ 5-10%) หรือสารปรับเนื้อสัมผัสแบบผง (เช่น Powder Cream หรือ MatteSilica ที่ 2-3%) ลงในส่วนของน้ำมันของคุณ สิ่งนี้ไม่จำเป็นสำหรับการทำงานของผลิตภัณฑ์โดยตรง แต่สามารถปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานได้อย่างมาก ทำให้โลชั่นน่าใช้มากขึ้นและส่งเสริมให้ใช้เป็นประจำครับ
- การเพิ่ม Vitamin E: การเพิ่ม Vitamin E (Tocopherol) ในปริมาณน้อย (เช่น 0.5-2%) เป็นความคิดที่ดีครับ มันทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องน้ำมันที่มีคุณค่าของคุณ (โดยเฉพาะ Rosehip) จากการออกซิเดชัน ซึ่งสามารถยืดอายุการเก็บรักษาโลชั่นของคุณได้ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระสำหรับผิวด้วยครับ
- การปรับ pH สุดท้าย: หลังจากทำโลชั่นเสร็จแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบและปรับ pH สุดท้ายเพื่อให้แน่ใจว่าอยู่ในช่วงที่เหมาะสม (pH 4-6) เพื่อความเสถียรของส่วนผสมและสุขภาพผิว คุณสามารถใช้เครื่องวัด pH หรือกระดาษวัด pH และปรับด้วยกรดเจือจาง (เช่น สารละลายกรดซิตริก) หรือเบสเจือจาง (เช่น สารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต) สองสามหยดหากจำเป็นครับ
สูตรของคุณดูเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับบอดี้โลชั่นที่ช่วยบำรุงและปรับผิวให้กระจ่างใส การเน้นที่ความรู้สึกในการทาและการปรับ pH จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพและน่าใช้ครับ!