ปัญหาการทำโลชั่น: เนื้อสัมผัส, อิมัลซิไฟเออร์, และการเพิ่มส่วนผสม
คำถาม
กำลังทำโลชั่นตามสูตรที่ใช้ส่วนผสมตามนี้ค่ะ แต่พบปัญหาเนื้อโลชั่นเกลี่ยยากและมีคราบขาว อยากสอบถามดังนี้ค่ะ:
- สูตรปัจจุบันใช้อิมัลซิไฟเออร์เป็น Stearic Acid + E-wax ระบบนี้มีปัญหาหรือไม่คะ? จะแก้ไขปัญหาเนื้อโลชั่นเกลี่ยยากและมีคราบขาวได้อย่างไร?
- สามารถใช้ Mineral Oil ในสูตรได้หรือไม่คะ จะช่วยให้เกลี่ยง่ายขึ้นไหม?
- มีวิธีปรับปรุงให้เนื้อโลชั่นเกลี่ยง่ายและให้ความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง?
- ควรเปลี่ยนอิมัลซิไฟเออร์หรือไม่คะ? มีตัวอื่นที่ใช้งานง่ายกว่าและช่วยให้เนื้อดีขึ้นไหม เช่น Sepiplus 400 หรือ Satin Moose?
- อยากใส่วิตามิน ซี และ Propylene Glycol เพิ่มในโลชั่นจะได้หรือไม่คะ? ควรใช้ Vitamin C Ester (Ascorbyl Palmitate) และ Propylene Glycol ในอัตราเท่าไรเพื่อช่วยเรื่องการเกลี่ยและความชุ่มชื้น?
คำตอบ
คำแนะนำสำหรับการทำโลชั่น
จากสูตรโลชั่นที่คุณทดลองทำและปัญหาที่พบ (เกลี่ยยาก มีคราบขาว) นี่คือคำแนะนำค่ะ:
1. ปัญหาเนื้อโลชั่น (เกลี่ยยาก มีคราบขาว)
คราบขาวและเนื้อที่เกลี่ยยากน่าจะเกิดจากระบบอิมัลซิไฟเออร์ที่คุณใช้ (Stearic Acid + E-wax) ซึ่งอาจเข้ากันได้ไม่สมบูรณ์กับส่วนของน้ำมัน หรือกระบวนการทำอิมัลชัน (การให้ความร้อนและการผสม) ยังไม่สมบูรณ์หรือเหมาะสม ระบบนี้ต้องการการให้ความร้อนและการผสมที่แม่นยำเพื่อให้ได้อิมัลชันที่คงตัวโดยไม่มีการแยกชั้นหรือการตกผลึกของไข/กรดไขมัน ซึ่งเป็นสาเหตุของคราบขาวที่เห็นได้
2. การใช้ Mineral Oil
Mineral oil สามารถช่วยให้เนื้อครีมหรือโลชั่นเกลี่ยง่ายขึ้นได้จริง เนื่องจากเป็นน้ำมันที่ค่อนข้างเบาและไม่มีขั้ว อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักที่คุณกำลังเผชิญดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับระบบอิมัลซิไฟเออร์และความคงตัวของอิมัลชันมากกว่าชนิดของน้ำมัน แม้ว่า Mineral oil จะทำให้รู้สึกว่าเนื้อลื่นขึ้น แต่ก็อาจไม่ได้แก้ปัญหาคราบขาวหากอิมัลชันไม่คงตัว ความกังวลเกี่ยวกับการใช้ Mineral oil มักเกี่ยวข้องกับแหล่งที่มา (จากปิโตรเลียม) และความรู้สึกที่อาจทำให้ผิวเหมือนถูกเคลือบ แต่ก็เป็นส่วนผสมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและถือว่าปลอดภัยในเครื่องสำอางเมื่อผ่านการทำให้บริสุทธิ์อย่างเหมาะสมแล้ว
3. การปรับปรุงการเกลี่ยและความชุ่มชื้น
เพื่อให้ได้โลชั่นที่เกลี่ยง่ายและให้ความชุ่มชื้นดี ลองพิจารณาดังนี้:
- เปลี่ยนอิมัลซิไฟเออร์: ตามคำแนะนำ การเปลี่ยนไปใช้ระบบอิมัลซิไฟเออร์แบบอื่นที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายกว่าและให้เนื้อสัมผัสที่ดีกว่า อาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด อิมัลซิไฟเออร์อย่าง Sepiplus 400 หรือ Satin Moose มักถูกแนะนำสำหรับการทำเครื่องสำอางใช้เอง เนื่องจากสามารถทำแบบ Cold Process ได้ (ไม่ต้องแยกให้ความร้อนส่วนน้ำและน้ำมันจนถึงอุณหภูมิสูง) และสร้างอิมัลชันที่คงตัวและให้ความรู้สึกที่ดีบนผิวได้อย่างรวดเร็ว อิมัลซิไฟเออร์ประเภทนี้สามารถปรับปรุงการเกลี่ยและเนื้อสัมผัสได้อย่างมากเมื่อเทียบกับระบบที่ใช้ไข/กรดไขมันแบบดั้งเดิม
- เพิ่มสารให้ความชุ่มชื้น (Humectants): ส่วนผสมที่ช่วยดึงและกักเก็บน้ำไว้ในผิว เช่น Glycerin (ที่คุณมีอยู่แล้วในสูตร) และ Propylene Glycol เป็นส่วนผสมที่ดีเยี่ยมในการเพิ่มความชุ่มชื้น และยังช่วยให้เนื้อผลิตภัณฑ์ลื่นและเกลี่ยง่ายขึ้นด้วย Propylene Glycol สามารถใช้ได้ในอัตรา 1-20% ในโลชั่นและครีม
4. ควรเปลี่ยนอิมัลซิไฟเออร์หรือไม่
ใช่ค่ะ การเปลี่ยนอิมัลซิไฟเออร์เป็นคำแนะนำที่สำคัญในการแก้ปัญหาเนื้อสัมผัส ระบบ Stearic Acid และ E-wax อาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เริ่มต้น และอาจไม่เหมาะที่สุดสำหรับการสร้างเนื้อสัมผัสที่บางเบา เกลี่ยง่าย โดยไม่ทิ้งคราบขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสภาวะการให้ความร้อนและการผสมไม่สมบูรณ์ อิมัลซิไฟเออร์อย่าง Sepiplus 400 หรือ Satin Moose ใช้งานง่ายกว่ามากและมักให้เนื้อสัมผัสที่ดีกว่าสำหรับผู้ที่ทำใช้เอง
5. อยากใส่วิตามิน ซี ด้วย จะได้หรือไม่
ได้ค่ะ คุณสามารถเพิ่มวิตามิน ซี ในโลชั่นของคุณได้ Vitamin C Ester (Ascorbyl Palmitate) เป็นวิตามิน ซี รูปแบบที่ละลายในน้ำมัน ซึ่งมีความคงตัวสูงกว่า L-Ascorbic Acid โดยเฉพาะในระบบที่เป็นน้ำมันหรืออิมัลชัน ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอาจช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น โดยทั่วไปจะผสมในส่วนของน้ำมันระหว่างการเตรียมสูตร อัตราการใช้ Vitamin C Ester (Ascorbyl Palmitate) อยู่ที่ประมาณ 1-8%
การใส่ Propylene Glycol ตามที่คุณถามเพิ่มเติม ก็จะช่วยทั้งเรื่องการเกลี่ยง่าย (ทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นและลดความหนืด) และความชุ่มชื้น (เป็น Humectant) สามารถเติมในส่วนของน้ำหรือเติมในขั้นตอนสุดท้ายของผลิตภัณฑ์ได้ ในอัตราแนะนำ 1-20% ค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Propylene Glycol
