ปัญหาการพัฒนาสูตร: การประสาน, เนื้อสัมผัส, การยึดเกาะ และการใช้วัตถุดิบในผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม
คำถาม
กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม อาจจะเป็น Pomade และมีคำถามหลายข้อเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรและการใช้วัตถุดิบดังนี้:
- Lanofree ช่วยลดแรงตึงผิวและช่วยในการประสานน้ำกับน้ำมันได้หรือไม่? ข้อมูลผลิตภัณฑ์ระบุว่าเป็นเอสเทอร์สังเคราะห์ที่ผสมในส่วนของน้ำมันโดยใช้ความร้อน ใช้ให้ความชุ่มชื้น ปรับสภาพผม และช่วยยึดเกาะ
- Polysorbate 20, Polysorbate 60 และ Oil Blender (Polyglyceryl-3 Diisostearate) มีความแตกต่างกันอย่างไร และสามารถใช้แทนกันได้หรือไม่?
- สูตรของฉันมีแว็กซ์ บัตเตอร์ และน้ำมันรวมกันสูง (รวม 50% ของสูตร) และใช้ Polysorbate 20 ที่ 5% พบปัญหาการประสานไม่สมบูรณ์และเกิดเกล็ด ทีมงานแนะนำให้ตัด Polysorbate 20 ออก และใช้ Milk Lotion Maker ที่ 5% ในส่วนของน้ำ (น้ำ 55%) โดยลดส่วนของน้ำมันทั้งหมดให้เหลือไม่เกิน 40% คำแนะนำนี้ถูกต้องหรือไม่? เมื่อทีมงานกล่าวถึง "ส่วนของน้ำมัน" หมายถึงปริมาณรวมทั้งหมดของส่วนผสมที่ละลายในน้ำมัน (น้ำมันเหลว, บัตเตอร์, แว็กซ์) ใช่หรือไม่?
- Milk Lotion Maker โดยทั่วไปจะให้เนื้อสัมผัสแบบใด? ต้องการให้เนื้อครีมข้นขึ้นแบบครีมหรือบาล์ม หรือแม้แต่เนื้อแบบ "Clay" ต้องทำอย่างไร?
- พบปัญหาการเกิดฟองมากขณะปั่นผสม อาจเป็นเพราะ Glycerin ใช้หัวปั่นฟองนมซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดฟองมาก วิธีการปั่นผสมที่ดีที่สุดเพื่อลดการเกิดฟองคืออะไร? มีสารอื่นที่ทำหน้าที่เป็นตัวทำละลาย/สารให้ความชุ่มชื้นแทน Glycerin ที่อาจทำให้เกิดฟองน้อยลงหรือไม่?
- ข้อมูลผลิตภัณฑ์ Easy Hair Styler (8 Hr.) ระบุว่าหลีกเลี่ยงความร้อนเกิน 40°C ฉันเติมที่อุณหภูมิ 50-60°C แล้วพบปัญหาการเซ็ตตัวไม่สม่ำเสมอ นี่คือสาเหตุหรือไม่? อุณหภูมิและวิธีการปั่นผสมที่ถูกต้องในการเติม Easy Hair Styler (8 Hr.) เพื่อให้กระจายตัวสม่ำเสมอก่อนสูตรเซ็ตตัวคือเท่าไหร่?
- ต้องการเพิ่มการยึดเกาะ (Hold) ในสูตร Pomade ต้องทำอย่างไร? สามารถใช้ Easy Hair Styler (8 Hr.) หรือ PVP-K90 หรือใช้ร่วมกันได้หรือไม่?
คำตอบ
ตอบคำถามเกี่ยวกับการพัฒนาสูตร
นี่คือคำตอบสำหรับคำถามของคุณเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรและส่วนผสมต่างๆ:
Lanofree และการลดแรงตึงผิว
สำหรับคำถามของคุณเกี่ยวกับ Lanofree ที่ระบุว่าช่วยลดแรงตึงผิวและช่วยในการประสานน้ำกับน้ำมัน ข้อมูลผลิตภัณฑ์ของ Lanofree (Synthetic Lanolin) ระบุว่าเป็นเอสเทอร์สังเคราะห์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้มีคุณสมบัติคล้ายลาโนลิน ใช้เป็นสารให้ความชุ่มชื้น สารปรับสภาพเส้นผม และในผลิตภัณฑ์เมคอัพเพื่อช่วยเคลือบและยึดเกาะผิว ให้ความชุ่มชื้น ผสมในส่วนของน้ำมันโดยใช้ความร้อนในการละลาย แม้ว่าลาโนลินและอนุพันธ์บางครั้งอาจมีส่วนช่วยในการคงตัวของอิมัลชัน แต่คุณสมบัติหลักที่อธิบายไว้ของ Lanofree เกี่ยวข้องกับการให้ความชุ่มชื้น การปรับสภาพ และการยึดเกาะ ไม่ได้ระบุว่าเป็นอิมัลซิไฟเออร์หลักที่ใช้เชื่อมเฟสน้ำและน้ำมันในปริมาณมาก
ความแตกต่างระหว่าง Polysorbate 20, Polysorbate 60 และ Oil Blender
- Polysorbate 20 (Tween 20) และ Polysorbate 60 (Sorbitan Stearate) เป็นอิมัลซิไฟเออร์คนละชนิดกัน มีคุณสมบัติและการใช้งานแตกต่างกัน Polysorbate 20 เป็นอิมัลซิไฟเออร์ที่มีค่า HLB สูง มักใช้สำหรับอิมัลชันแบบ Oil-in-Water (O/W) หรือช่วยละลายน้ำมันปริมาณเล็กน้อยในน้ำ สามารถละลายได้ในน้ำและกลีเซอรีน แต่ละลายได้ไม่สมบูรณ์ (ขุ่น) ในน้ำมัน Polysorbate 60 (Sorbitan Stearate) เป็นอิมัลซิไฟเออร์ที่มีค่า HLB ต่ำ มักใช้เป็นโค-อิมัลซิไฟเออร์ในอิมัลชันแบบ Water-in-Oil (W/O) ละลายได้ในน้ำมันและกระจายตัวได้ในน้ำ ไม่สามารถใช้แทนกันได้โดยตรงเนื่องจากทำหน้าที่แตกต่างกันในการสร้างและทำให้อิมัลชันคนละประเภทคงตัว
- Oil Blender (Polyglyceryl-3 Diisostearate) เป็นอิมัลซิไฟเออร์แบบ Water-in-Oil (W/O) และเป็นสารช่วยผสมน้ำมัน/ซิลิโคน ออกแบบมาเพื่อช่วยผสมน้ำกับน้ำมัน (ในรูปแบบ W/O) หรือน้ำมันชนิดต่างๆ เหมาะสำหรับสูตรเมคอัพที่ไม่มีน้ำหรือมีน้ำน้อย เพื่อช่วยให้เนื้อสูตรเนียนเข้ากันได้ดี เช่น ช่วยให้เนื้อบัตเตอร์เนียนขึ้น ไม่เป็นเกล็ดหรือเม็ด และใช้เป็นตัวประสานในแป้งอัดแข็ง แม้จะสามารถใช้ในสูตรอิมัลชัน W/O ได้ (มักใช้ร่วมกับสารช่วยคงตัว เช่น Magnesium Sulfate) แต่บทบาทหลักมักเป็นสารช่วยผสมมากกว่าเป็นอิมัลซิไฟเออร์หลักเพียงตัวเดียวเมื่อเทียบกับอิมัลซิไฟเออร์หลักสำหรับ W/O โดยเฉพาะ Oil Blender และ Polysorbate 20 ไม่สามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากสร้างอิมัลชันคนละประเภท (W/O vs O/W) และมีวัตถุประสงค์หลักในการใช้งานต่างกัน
ปัญหาสูตรของคุณและการประสาน
สูตรที่คุณให้มามีปริมาณแว็กซ์ บัตเตอร์ และน้ำมันรวมกันสูง (รวม 50% ของสูตร) โดยทั่วไปแล้ว Polysorbate 20 ในปริมาณ 5% ไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสมที่จะใช้อิมัลชันเฟสน้ำมันที่มีปริมาณสูงและมีส่วนประกอบของแว็กซ์และบัตเตอร์มากเช่นนี้ นี่คือสาเหตุที่ทำให้การประสานไม่สมบูรณ์และเกิดเกล็ด คำแนะนำของทีมงานให้ตัด Polysorbate 20 ออกจากสูตร และลดส่วนของน้ำมันทั้งหมดให้เหลือไม่เกิน 40% ของสูตร โดยใช้ Milk Lotion Maker 5% แทนในส่วนของน้ำ 55% เป็นแนวทางที่เหมาะสม เนื่องจาก Milk Lotion Maker ถูกออกแบบมาสำหรับสูตรที่มีเฟสน้ำมันสูงกว่า (สูงสุด 40%) เมื่อเทียบกับ Polysorbate 20 ซึ่งมักใช้ละลายน้ำมันปริมาณน้อยในน้ำ หรือสร้างอิมัลชัน O/W ที่มีเฟสน้ำมันต่ำกว่า ปริมาณแว็กซ์/บัตเตอร์ที่สูงยังมีส่วนทำให้การอิมัลชันทำได้ยาก และอาจเกิดเกล็ดได้หากอิมัลชันไม่สมบูรณ์และเย็นตัวไม่เหมาะสม
เมื่อทีมงานกล่าวถึง "ส่วนของน้ำมัน" หมายถึง ปริมาณรวมทั้งหมดของส่วนผสมที่ละลายในน้ำมัน ซึ่งรวมถึงน้ำมันเหลว บัตเตอร์ และแว็กซ์ทั้งหมดในสูตรของคุณ
เนื้อสัมผัสจาก Milk Lotion Maker และความเป็นไปได้ในการทำเนื้อ Clay
โดยทั่วไปแล้ว Milk Lotion Maker จะให้เนื้อสัมผัสที่เหลว เกลี่ยง่าย คล้ายโลชั่นน้ำนม หากต้องการให้เนื้อครีมข้นขึ้น สามารถเพิ่มแว็กซ์หรือแฟตตี้แอลกอฮอล์ลงในสูตรได้ตามที่ระบุในข้อมูลผลิตภัณฑ์ การทำเนื้อแบบ "Clay" ซึ่งมักจะให้ความรู้สึกแมทท์และมีโครงสร้างเฉพาะตัว น่าจะต้องใช้ส่วนผสมอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น แร่ดิน (Clay minerals) หรือสารสร้างเนื้อ (Structuring agents) ที่เหมาะสม นอกเหนือจากอิมัลซิไฟเออร์และเฟสน้ำ/น้ำมัน Milk Lotion Maker เพียงอย่างเดียวจะไม่ทำให้ได้เนื้อแบบ Clay โดยธรรมชาติ
การเกิดฟองจาก Glycerin และตัวทำละลายทางเลือก
การใช้หัวปั่นฟองนมไม่เหมาะสมสำหรับการปั่นผสมสูตร เนื่องจากจะนำอากาศเข้าไปในเนื้อสูตรมากเกินไป ทำให้เกิดฟองมาก โดยเฉพาะกับส่วนผสมอย่าง Glycerin ที่สามารถทำให้เกิดฟองได้ เพื่อลดการเกิดฟอง ควรใช้เครื่องปั่นที่เหมาะสม เช่น เครื่องกวนแบบ Overhead Stirrer หรือ Homogenizer ที่ช่วยให้ผสมเข้ากันได้ดีโดยไม่นำอากาศเข้ามากเกินไป
Glycerin เป็นสารให้ความชุ่มชื้น (Humectant) และตัวทำละลาย (Solvent) ที่มีประโยชน์ หากคุณต้องการลดหรือตัด Glycerin ออกจากสูตรเพื่อลดปัญหาฟองหรือด้วยเหตุผลอื่น คุณสมบัติการให้ความชุ่มชื้นและการเป็นตัวทำละลายก็จะลดลงไปด้วย สารอื่นๆ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวทำละลายและสารให้ความชุ่มชื้นได้แก่:
- Propylene Glycol: ตัวทำละลายและ Humectant ที่นิยมใช้ทั่วไป
- Butylene Glycol: ทางเลือกที่อ่อนโยนกว่า Propylene Glycol เป็นตัวทำละลายและ Humectant เช่นกัน
- 1,3-Propanediol: ทางเลือกจากธรรมชาติ ทำหน้าที่เป็น Humectant, Solvent และ Preservative Booster มีข้อดีคือให้ความรู้สึกที่ดีต่อผิวมากกว่า Glycol ทั่วไป และสามารถเสริมประสิทธิภาพการให้ความชุ่มชื้นของ Glycerin ได้เมื่อใช้ร่วมกัน
การเลือกใช้สารทดแทนขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่ต้องการและความเข้ากันได้กับส่วนผสมอื่นๆ ในสูตรของคุณ
อุณหภูมิในการเติม Easy Hair Styler (8 Hr.)
ข้อมูลผลิตภัณฑ์ของ Easy Hair Styler (8 Hr.) ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนเกิน 40°C เนื่องจากจะทำให้จับตัวเป็นก้อนและแข็ง การเติมที่อุณหภูมิ 50-60°C จึงไม่แนะนำและมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดปัญหาการกระจายตัวและอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดแต่งทรงผมและเนื้อสัมผัสได้ ปัญหาการเซ็ตตัวไม่สม่ำเสมอที่คุณพบ น่าจะเกิดจากการที่สูตรเย็นตัวและเริ่มแข็งก่อนที่จะเติม Easy Hair Styler เข้าไปจนเข้ากันดี โดยเฉพาะหากใช้หัวปั่นที่ไม่เหมาะสม ควรแน่ใจว่าได้ปั่นผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอย่างทั่วถึงในขณะที่สูตรกำลังเย็นตัวลง แต่ยังไม่อยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 40°C เพื่อให้ Easy Hair Styler กระจายตัวได้สม่ำเสมอก่อนที่สูตรจะเซ็ตตัว
การเพิ่มการยึดเกาะ (Hold) ในสูตร Pomade
หากต้องการเพิ่มการยึดเกาะ (Hold) ในสูตร Pomade ของคุณ สามารถเพิ่มสารจัดแต่งทรงผม (Hair Fixative) เข้าไปได้ จากข้อมูลผลิตภัณฑ์ Easy Hair Styler (8 Hr.) เป็นสารจัดแต่งทรงผมที่ให้การยึดเกาะและสามารถใช้ในสูตร Pomade ได้ PVP-K90 เป็นสารจัดแต่งทรงผมอีกชนิดที่ให้การยึดเกาะที่แข็งแรงและยาวนาน เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีเนื้อข้น เช่น Pomade หรือ Wax คุณสามารถใช้ Easy Hair Styler (8 Hr.), PVP-K90 หรือใช้ทั้งสองตัวร่วมกัน เพื่อให้ได้ระดับการยึดเกาะที่ต้องการในสูตรของคุณ
หวังว่าคำอธิบายโดยละเอียดนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาสูตรของคุณครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Propylene Glycol

Glycerin (USP/Food Grade)

Polysorbate 20 (Tween 20)

Polysorbate 80 (Tween 80)

Butylene Glycol

Oil Blender™ (Polyglyceryl-3 Diisostearate)

Milk Lotion Maker™

Polyvinylpyrrolidone K90 (PVP-K90, granule)

Easy Hair Styler (8 Hr.)

Lanofree™ (Synthetic Lanolin)

Propanediol (1,3-Propanediol) (e.q. Zemea)
