ปัญหาโลชั่นเหนียวเหนอะหนะและมีกลิ่นหืน
คำถาม
ฉันได้ลองทำโลชั่นโดยใช้ส่วนผสมดังนี้:
- Water
- Glycerin (10%)
- Apricot Kernel Oil (3%)
- Sweet Almond Oil (3%)
- Vitamin E (Tocopheryl Acetate) (2%)
- Light Cream Maker (1%)
- สารกันเสีย (1%)
- น้ำหอมกลิ่นส้ม
โลชั่นที่ได้มีเนื้อสัมผัสและความชุ่มชื้นที่ฉันชอบ แต่มีปัญหาหลักสองอย่างคือ:
- กลิ่นหืน: โลชั่นมีกลิ่นหืนเมื่อเวลาผ่านไป
- ความเหนียวเหนอะหนะ: โลชั่นรู้สึกเหนียวและมันบนผิว โดยเฉพาะที่มือ
ไม่ทราบว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไร และมีวิธีปรับสูตรอย่างไรเพื่อลดความเหนอะหนะและป้องกันกลิ่นหืนได้บ้างคะ/ครับ?
คำตอบ
สวัสดีค่ะ/ครับ ยินดีด้วยนะคะ/ครับที่ทำโลชั่นออกมาได้เนื้อและความชุ่มชื้นที่ชอบค่ะ/ครับ มาดูวิธีแก้ปัญหากลิ่นหืนและความเหนอะหนะกันนะคะ/ครับ
ปัญหากลิ่นเหม็นหืน
กลิ่นนี้มักเกิดจากการที่น้ำมันธรรมชาติในสูตรเริ่มเสื่อมสภาพหรือเหม็นหืนค่ะ/ครับ แม้สารกันเสียจะช่วยยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ แต่ไม่ได้ป้องกันการเหม็นหืนของน้ำมันค่ะ/ครับ การเพิ่มปริมาณน้ำหอม (เช่น กลิ่นส้มที่ใช้) อีกเล็กน้อยอาจช่วยกลบกลิ่นได้ค่ะ/ครับ หรืออาจพิจารณาใช้น้ำมันที่ทนต่อการเหม็นหืนได้ดีกว่า หรือเติมสารต้านอนุมูลอิสระในครั้งต่อไปค่ะ/ครับ
ปัญหาความเหนียวเหนอะหนะติดมือ
ความรู้สึกเหนอะหนะนี้อาจมาจากหลายปัจจัยรวมกันค่ะ/ครับ
- ปริมาณ Vitamin E (Tocopheryl Acetate) ที่ใช้ 2% ถือว่าค่อนข้างสูงค่ะ/ครับ Vitamin E เองก็ให้ความรู้สึกหนึบๆ ได้ และโดยทั่วไปมักใช้ในปริมาณที่ต่ำกว่านี้ (เช่น 0.1-1%)
- น้ำมันธรรมชาติที่คุณเลือกใช้คือ Apricot Kernel Oil และ Sweet Almond Oil ซึ่งมีอัตราการซึมสู่ผิวปานกลางถึงช้า การใช้น้ำมันสองชนิดนี้รวมกัน 6% บวกกับ Vitamin E 2% ทำให้รู้สึกมันและเหนอะหนะติดผิวได้ค่ะ/ครับ
- แม้ Glycerin 10% จะสูง แต่โดยทั่วไปจะให้ความรู้สึกที่ลื่นมากกว่าเหนอะหนะ อย่างไรก็ตาม การลดปริมาณลงก็อาจช่วยให้เนื้อสัมผัสโดยรวมดีขึ้นได้ค่ะ/ครับ
วิธีปรับปรุงเพื่อลดความเหนอะหนะ:
- ลดปริมาณ Vitamin E ลงเหลือ 0.1-0.2% (ยังคงให้ประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระได้)
- พิจารณาใช้น้ำมันหรือ Emollient ชนิดอื่นที่ซึมสู่ผิวได้เร็วกว่าหรือให้ความรู้สึกมันน้อยกว่า แทนที่น้ำมัน Apricot Kernel Oil และ Sweet Almond Oil บางส่วนหรือทั้งหมดค่ะ/ครับ เช่น Fractionated Coconut Oil, Mineral Oil (Paraffinum Liquidum), หรือ Lipid Soft (Oil Free Emollient) ซึ่งเป็น Emollient สังเคราะห์ที่ให้ความรู้สึกเบาและเสถียรกว่า
- เพิ่มส่วนผสมกลุ่ม Silicone เนื้อเบา เช่น Dimethicone (Light, Low-Odor) เข้าไปค่ะ/ครับ Silicone จะช่วยเคลือบผิว ให้ความรู้สึกนุ่มลื่น ไม่เหนอะหนะ และช่วยให้เนื้อครีมเกลี่ยง่ายขึ้นค่ะ/ครับ
- ลดปริมาณ Glycerin ลงเหลือ 3-5% ตามคำแนะนำค่ะ/ครับ
แนวทางการปรับสูตรที่แนะนำ
นี่คือตัวอย่างแนวทางการปรับสูตร (ปริมาณเป็นเพียงแนวทาง อาจต้องปรับสมดุลส่วนผสมอื่นๆ):
- Water: ส่วนที่เหลือ (q.s.)
- Glycerin: ไม่เกิน 5% (เช่น 3-5%)
- น้ำมัน/Emollient: รวมกันไม่เกิน 10% (เช่น อาจใช้ Apricot Kernel Oil หรือ Sweet Almond Oil เล็กน้อย (เช่น 2-3%) ร่วมกับ Emollient/น้ำมันเนื้อเบาอื่นๆ เช่น Fractionated Coconut Oil, Lipid Soft, หรือ Mineral Oil (เช่น 7-8%))
- Vitamin E (Tocopheryl Acetate): 0.1-0.2%
- Dimethicone (Light, Low-Odor): อาจเพิ่ม 5-10%
- Light Cream Maker: 1%
- สารกันเสีย: 1%
- น้ำหอม/Essential Oil: ปรับปริมาณเพื่อกลบกลิ่น
การปรับเปลี่ยนเหล่านี้จะช่วยลดความรู้สึกหนักและเหนอะหนะลงได้ ในขณะที่ยังคงให้ความชุ่มชื้นที่ดีค่ะ/ครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

Apricot Kernel Oil (Refined)

NaturalProfile™ Sweet Almond Oil (Cold-Pressed)

Light Cream Maker™

Glycerin (USP/Food Grade)

Fractionated Coconut Oil

Dimethicone (Medium/350, Low-Odor)

LipidSoft™ C1215 (C12-15 alkyl benzoate)

PowderCream™ (Water Absorbing PMMA)
