ผลกระทบของ Royal Jelly และ Aloe Vera ต่อความเสถียรของเซรั่มวิตามินซี

ถามโดย: pattarawutth เมื่อ: March 13, 2015 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

การเพิ่ม Royal Jelly และ Aloe Vera ลงในเซรั่มวิตามินซี โดยเฉพาะสูตรที่ใช้ L-Ascorbic Acid (เช่นเดียวกับสูตรของ Skinceuticals) จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและความเสถียรหรือไม่? ถ้ามีผลกระทบ เป็นเพราะอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง?

คำตอบ

ผลกระทบของ Royal Jelly และ Aloe Vera ต่อความเสถียรของเซรั่มวิตามินซี

การเพิ่มส่วนผสมอย่าง Royal Jelly และ Aloe Vera ลงในเซรั่มวิตามินซีที่ทำเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูตรที่ใช้ L-Ascorbic Acid (เช่นเดียวกับสูตรของ Skinceuticals) สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพและความเสถียรของวิตามินซีได้จริง

เหตุใดความเสถียรจึงได้รับผลกระทบ

L-Ascorbic Acid จะมีความเสถียรและมีประสิทธิภาพสูงสุดในสภาพแวดล้อมที่มีค่า pH ต่ำ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ระหว่าง 2.0 ถึง 4.0 (และ 3.5-4.0 เหมาะสำหรับผิว) สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น Royal Jelly และ Aloe Vera มีแร่ธาตุ อิเล็กโทรไลต์ และสารประกอบอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มค่า pH ของสูตรได้ เมื่อค่า pH สูงขึ้น L-Ascorbic Acid จะไม่เสถียรอย่างมากและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันอย่างรวดเร็ว ทำให้สูญเสียประสิทธิภาพและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล

วิธีแก้ไขและข้อแนะนำ

  1. ใช้สารอนุพันธ์วิตามินซีที่มีความเสถียร: แทนที่จะใช้ L-Ascorbic Acid ให้พิจารณาใช้รูปแบบวิตามินซีที่มีความเสถียรมากกว่า ซึ่งไวต่อค่า pH และส่วนผสมอื่นๆ น้อยกว่า ตัวอย่างเช่น:

    • Ethyl Ascorbic Acid: อนุพันธ์นี้มีความเสถียรสูง ละลายน้ำได้ และมีประสิทธิภาพ มีความเสถียรในช่วง pH 3.5-6.0 ทำให้เข้ากันได้กับส่วนผสมที่หลากหลายกว่า L-Ascorbic Acid
    • Ascorbyl Glucoside: เป็นอนุพันธ์ที่ละลายน้ำได้และมีความเสถียรอีกชนิดหนึ่ง มีความเสถียรสูงสุดในช่วง pH 6.5-6.8 แม้ว่า pH นี้จะสูงกว่าค่าที่เหมาะสมสำหรับ L-Ascorbic Acid แต่ก็เหมาะสำหรับส่วนผสมเครื่องสำอางอื่นๆ หลายชนิด
  2. แยกสูตร: หากคุณต้องการใช้ L-Ascorbic Acid เพื่อประโยชน์เฉพาะของมัน และต้องการรวม Royal Jelly และ Aloe Vera ด้วย ให้พิจารณาทำเป็นผลิตภัณฑ์แยกกัน คุณสามารถมีเซรั่ม L-Ascorbic Acid ที่มี pH ต่ำ และเซรั่มหรือเจลแยกต่างหากที่มี Royal Jelly และ Aloe Vera โดยทาในเวลาที่ต่างกัน (เช่น วิตามินซีตอนเช้า Royal Jelly/Aloe Vera ตอนกลางคืน) หรือทาทับกันอย่างระมัดระวัง แม้ว่าการทาทับกันบางครั้งก็ยังอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาได้

  3. การควบคุมค่า pH อย่างระมัดระวัง: หากคุณยังคงต้องการรวมส่วนผสมเหล่านี้กับ L-Ascorbic Acid คุณจะต้องวัดและปรับค่า pH อย่างแม่นยำเพื่อให้สูตรสุดท้ายอยู่ในช่วง pH ต่ำที่เหมาะสมสำหรับ L-Ascorbic Acid (3.5-4.0) อย่างไรก็ตาม การเพิ่มส่วนผสมที่เพิ่มค่า pH ตามธรรมชาติจะทำให้การทำเช่นนี้เป็นเรื่องท้าทายอย่างมาก และอาจทำให้ความเสถียรลดลงอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไป แม้จะมีการปรับค่า pH แล้วก็ตาม

โดยสรุป ความกังวลเกี่ยวกับการที่ Royal Jelly และ Aloe Vera ส่งผลต่อคุณภาพของวิตามินซีนั้นถูกต้อง เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงค่า pH การใช้สารอนุพันธ์วิตามินซีที่มีความเสถียร หรือการแยกส่วนผสมออกจากกัน เป็นแนวทางที่แนะนำเพื่อรักษาประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์วิตามินซีของคุณ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Aloe Vera Gel (Heavy)
Aloe Vera Gel (Heavy)
เครื่องสำอาง
Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)
Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)
เครื่องสำอาง