ผลของ Powder Cream และการแช่เย็นต่อประสิทธิภาพและความเสถียรของเซรั่ม
คำถาม
ในการพัฒนาสูตรเซรั่ม หากใช้ Powder cream
ในปริมาณสูง (เช่น 5.6% หรือสูงกว่า ตามที่ได้หารือกัน) จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ลดลงหรือไม่ หรือส่งผลแค่กับเนื้อสัมผัสเท่านั้น?
และจำเป็นต้องแช่เย็นเซรั่มที่ทำเสร็จแล้วซึ่งมีส่วนผสม anti-aging และ peptide เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของสารเหล่านี้หรือไม่?
คำตอบ
สวัสดีครับ!
ยอดเยี่ยมมากเลยครับที่ได้ยินว่าคุณประสบความสำเร็จในการทำสูตรและมีความสุขกับการทำผลิตภัณฑ์บำรุงผิวด้วยตัวเอง!
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งแรก แม้ว่าทางทีมงานจะชี้แจงถูกต้องว่าส่วนผสมที่มีอิเล็กโทรไลต์สูง (เช่น DMAE) สามารถรบกวนสารสร้างเนื้อเจลอย่าง Pro Polymer ได้ แต่การที่ส่วนผสมจับตัวเป็นก้อนก่อนที่คุณจะใส่ Pro Polymer นั้น น่าจะเกิดจากการที่สารออกฤทธิ์ที่มีความเข้มข้นสูงบางตัว โดยเฉพาะ DMAE และอาจรวมถึง Sodium Silicate ทำปฏิกิริยากับส่วนผสมอื่นๆ ในสูตรเมื่อใส่เข้าไปในขั้นตอนแรกๆ ปฏิกิริยาเหล่านี้บางครั้งอาจทำให้เกิดการตกตะกอนหรือจับตัวเป็นก้อนของส่วนผสมบางอย่างก่อนที่สารสร้างเนื้อเจลหลักจะทำงานได้อย่างเต็มที่
วิธีการผสมที่คุณปรับเปลี่ยน โดยการใส่ส่วนผสมที่อาจมีปฏิกิริยาได้ง่าย เช่น Argireline, Repair Activator และ DMAE ในขั้นตอนสุดท้ายหลังจากที่เนื้อเจลครีมเริ่มก่อตัวแล้ว เป็นแนวทางที่ดีเยี่ยมในการแก้ไขปัญหานี้ครับ การตัด Sodium Silicate ออกจากสูตรก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเช่นกัน ตามที่ทีมงานได้แนะนำว่าไม่เหมาะกับการใช้ในสูตรเซรั่มรวมแบบนี้
สำหรับคำถามเรื่อง Powder cream และการแช่เย็น:
- Powder cream: ตามที่ทีมงานได้อธิบาย การใช้ในระดับที่สูงขึ้น (เช่น 5.6% ในสูตรที่คุณทำสำเร็จ แม้ว่าทีมงานจะระบุที่ >10% เป็นพิเศษ) อาจทำให้การซึมเข้าสู่ผิวช้าลงได้ แต่ประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์เมื่อซึมเข้าสู่ผิวแล้วไม่ควรลดลงครับ ส่วนใหญ่จะส่งผลต่อเนื้อสัมผัสและความรู้สึกบนผิวมากกว่า
- การแช่เย็น: ทีมงานแนะนำว่าหากสะดวกและสามารถทำได้ ควรแช่เย็นผลิตภัณฑ์ที่ทำเสร็จแล้วครับ แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องแช่เย็นเสมอไปหากเก็บรักษาอย่างเหมาะสม แต่การเก็บในที่เย็นสามารถช่วยรักษาความเสถียรและประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์บางชนิดที่ไวต่ออุณหภูมิได้ โดยเฉพาะกลุ่มเปปไทด์และสารหมักต่างๆ ให้คงอยู่ได้นานขึ้นครับ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องเก็บผลิตภัณฑ์ให้พ้นจากแสงแดดโดยตรงและความร้อน เพราะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สารสำคัญเสื่อมสภาพได้
คำแนะนำเพิ่มเติม:
- ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์: ทีมงานได้แนะนำให้ลดความเข้มข้นของ DMAE และ Repair Activator จาก 10% เหลือ 5% เพื่อลดความเหนอะหนะที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าคุณจะรู้สึกว่าเนื้อสัมผัส "โอเค" ในสูตรที่ทำสำเร็จ แต่ก็เก็บคำแนะนำนี้ไว้พิจารณาหากคุณพบว่าเซรั่มเหนอะหนะหรือหนักผิวเกินไปเมื่อใช้เป็นประจำครับ ความเข้มข้นสูงไม่ได้หมายความว่าจะให้ผลดีกว่าเสมอไป และบางครั้งอาจนำไปสู่การระคายเคืองหรือเนื้อสัมผัสที่ไม่น่าใช้ได้
- ลำดับการผสมมีความสำคัญ: ประสบการณ์ของคุณเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของลำดับการผสม โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับส่วนผสมที่อาจทำปฏิกิริยากันได้ (เช่น อิเล็กโทรไลต์กับโพลิเมอร์บางชนิด หรือสารออกฤทธิ์อื่นๆ ที่ไวต่อปฏิกิริยา) ควรตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าส่วนผสมละลายหรือกระจายตัวในเฟสที่เหมาะสมแล้ว ก่อนที่จะนำเฟสต่างๆ มารวมกัน หรือใส่ส่วนผสมที่อาจทำปฏิกิริยาเข้าไป
- การทดสอบการแพ้: ด้วยสูตรที่มีสารออกฤทธิ์ความเข้มข้นสูงหลายชนิด ควรทำการทดสอบการแพ้บนผิวบริเวณเล็กๆ ก่อนนำไปใช้ทั่วใบหน้าเสมอ โดยเฉพาะสำหรับผิวคุณแม่ครับ เพื่อตรวจสอบว่ามีอาการระคายเคืองหรือแพ้หรือไม่
ขอให้มีความสุขกับการทำครีมต่อไปนะครับ!
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)

Ceramide Complex (CeraTouch™, Cream)

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Allantoin

Panthenol (Vitamin B5, DL-Panthenol, Powder)

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)

Phenoxyethanol (Extra Pure)

Disodium EDTA

Beta Glucan (Saccharomyces cerevisiae extract)

Pro Polymer™ (Gel Maker)

PowderCream™ (Water Absorbing PMMA)

DMAE (SkinTight MD™) Liquid

Silky Serum Base Plus (Face/Eye, Oil)

Water-in-Oil EZ™ (Cetyl PEG/PPG-10/1 Dimethicone)

PE-1 Aqua
