วิธีป้องกันครีมวิตามินซีเปลี่ยนสีเหลืองและการเสื่อมสภาพ

ถามโดย: juthapornj1989 เมื่อ: October 08, 2025 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

วิธีป้องกันการเกิดออกซิเดชันและการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองในครีมวิตามินซี

ฉันกำลังพัฒนาครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี และต้องการคำแนะนำว่าควรใส่สารตัวไหนเพื่อป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์เกิดการเสื่อมสภาพและเปลี่ยนเป็นสีเหลือง

เพื่อให้สามารถให้คำแนะนำที่แม่นยำที่สุด โปรดพิจารณารายละเอียดสูตรดังต่อไปนี้:

  • รูปแบบของวิตามินซีที่ใช้คืออะไร (เช่น L-Ascorbic Acid หรือ derivatives)?
  • ความเข้มข้นของวิตามินซีในสูตรคือเท่าไหร่?
  • สูตรฐานของครีมมีส่วนผสมหลักอะไรบ้าง?
  • ค่า pH ของสูตรอยู่ที่เท่าไหร่?
  • มีข้อจำกัดเฉพาะเจาะจงหรือไม่ เช่น ต้องการใช้วัตถุดิบธรรมชาติหรือ vegan?

คำตอบ

การที่ครีมวิตามินซีเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเป็นสัญญาณคลาสสิกของการ เกิดออกซิเดชัน (Oxidation) ซึ่งหมายความว่าวิตามินซีในสูตรกำลังเสื่อมสภาพ เพื่อป้องกันปัญหานี้ คุณจำเป็นต้องใช้ส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความเสถียรและเทคนิคการปรุงสูตรที่เหมาะสม

1. สารเพิ่มความเสถียร (Antioxidant Synergy)

วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรักษาเสถียรภาพของวิตามินซี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง L-Ascorbic Acid (L-AA) คือการใช้ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ:

  • Ferulic Acid (กรดเฟอรูลิก) (ID 131): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพสูง ทำงานร่วมกับวิตามินซีและวิตามินอีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพของสูตรได้อย่างมาก แนะนำอย่างยิ่งสำหรับสูตรที่ใช้ L-AA
  • Vitamin E (Tocopherol) (ID 135): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำมัน ช่วยปกป้องสูตรจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดออกซิเดชันของวิตามินซี

2. การเลือกรูปแบบของวิตามินซีที่เหมาะสม

ความเสถียรของครีมขึ้นอยู่กับรูปแบบของวิตามินซีที่คุณใช้:

รูปแบบวิตามินซี ความเสถียรและความเสี่ยงต่อการเกิดออกซิเดชัน กรณีการใช้งานที่เหมาะสมที่สุด รหัสสินค้าที่เกี่ยวข้อง
L-Ascorbic Acid (L-AA) ความเสถียรต่ำมาก เสื่อมสภาพง่ายมากโดยเฉพาะในน้ำ ต้องใช้ pH ต่ำ (3.0-3.5) และสารเพิ่มความเสถียร (Ferulic Acid + Vitamin E) เซรั่มที่มีความเข้มข้นสูงที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด แม้จะมีความท้าทายด้านความเสถียร 941, 134, 133
Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) ความเสถียรสูง อนุพันธ์ที่ละลายน้ำได้ มีความเสถียรสูงและขึ้นอยู่กับค่า pH น้อยกว่า (pH ที่เหมาะสม 6.0-7.0) ครีมและโลชั่นที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ที่ให้ความสำคัญกับความเสถียรและความง่ายในการปรุงสูตร 8334
Ascorbyl Tetraisopalmitate (ATIP) (Perfect-C™) ความเสถียรสูงสุด อนุพันธ์ที่ละลายในน้ำมัน มีความเสถียรสูงมากและไม่จำเป็นต้องใช้ pH ต่ำ ครีม/เซรั่มที่ไม่มีน้ำ (Anhydrous) หรือมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อความเสถียรสูงสุดและการซึมซาบเข้าสู่ผิว 499

3. สภาพแวดล้อมและเทคนิคการปรุงสูตร

  • สารคีเลต (Chelating Agents): ควรเติมสารคีเลต (เช่น Disodium EDTA หรือทางเลือกจากธรรมชาติ) เพื่อจับกับไอออนของโลหะ (เช่น เหล็กหรือทองแดง) ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชัน
  • การควบคุมค่า pH (สำคัญมากสำหรับ L-AA): หากใช้ L-AA ค่า pH ต้อง ถูกควบคุมให้ต่ำ (3.0-3.5) เพื่อให้วิตามินซีอยู่ในรูปที่ไม่แตกตัว ซึ่งจำเป็นต่อการดูดซึมและความเสถียร ค่า pH ที่สูงขึ้นจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
  • การจำกัดออกซิเจน: ใช้ขวดปั๊มสุญญากาศ (Airless Pump) หรือบรรจุภัณฑ์ทึบแสงเพื่อลดการสัมผัสกับแสงและออกซิเจน
  • สูตรที่ไม่มีน้ำ (Anhydrous Formulas): สูตร L-AA ที่เสถียรที่สุดมักจะเป็นสูตรที่ไม่มีน้ำ เช่น สูตรที่ใช้ซิลิโคนหรือน้ำมันเป็นตัวแขวนลอย เนื่องจากน้ำเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาหลักในการเสื่อมสภาพของ L-AA

เพื่อให้คำแนะนำที่แม่นยำที่สุด โปรดแจ้งรายละเอียดที่คุณสอบถามมา:

  1. รูปแบบของวิตามินซีที่ใช้: (เช่น L-Ascorbic Acid, SAP, ATIP)
  2. ความเข้มข้นของวิตามินซีในสูตร: (เช่น 10%, 15%)
  3. สูตรฐานของครีม: (เช่น อิมัลชันน้ำในน้ำมัน, อิมัลชันน้ำมันในน้ำ, สูตรที่ไม่มีน้ำ)
  4. ค่า pH ของสูตร: (หากเป็นสูตรที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ)
  5. ข้อจำกัด: (เช่น ต้องการใช้วัตถุดิบธรรมชาติหรือ vegan หรือไม่)

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Pure-Ferulic Acid™
Pure-Ferulic Acid™
เครื่องสำอาง
Vitamin E (dl-alpha tocopherol)
Vitamin E (dl-alpha tocopherol)
เครื่องสำอาง
Perfect-C™ (Ascorbyl Tetraisopalmitate)
Perfect-C™ (Ascorbyl Tetraisopalmitate)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard)
เครื่องสำอาง
Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin C SAP, e.q. Stay C50)
Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin C SAP, e.q. Stay C50)
เครื่องสำอาง