สูตรเซรั่ม Skin Barrier, โปรไบโอติก, BHA: คำถามเรื่อง pH, สารสร้างเนื้อ, และความเสถียร
คำถาม
ตั้งใจให้เป็น skin barrier + pre/probiotics ครับ โดยเพิ่ม BHA เข้ามาเพราะผมเป็นสิวง่าย ตอนแรกตั้งใจจะใช้ DMI แต่ pH ขั้นต่ำของ DMI คือ 5.0 แต่ Lactobacillus Ferment Lysate ไม่ควรมี pH เกิน 5.5 เลยคิดว่าอาจจะยากในการควบคุมค่า pH ของสูตรจึงใช้ Laurocapram แทนครับ สูตรนี้ถ้าเปลี่ยนไปใช้ Pro Polymer™ ได้หรือเปล่าครับ ส่วนอื่น ๆ ของสูตรมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ
ขอบคุณครับ
ส่วนประกอบ:
Glycosaminoglycans Complex 3.00 %
Skin-mimic™ (Skin Barrier Restoration) 3.00 %
Glyceryl glucoside (Japan) 1.00 %
Natural Moisturizing Amino Acids 1.00 %
TreMoisture™ (Trehalose) 1.00 %
Rose Hip Oil (Virgin, Fresh) 1.00 %
Repair Activator™ 10.00 %
Lactobacillus Ferment Lysate 3.00 %
Prebio-care (Skin Prebiotic) 1.00 %
PiteraEx™ (Saccharomyces Lysate Extract) 1.00 %
Encapsulated Salicylic Acid (Powder, Timed-Release) 4.00 %
Laurocapram (Water Soluble) 2.00 %
1,2-Hexanediol (Super-Purified, Odorless) 2.00 %
Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free) 1.00 %
Odor-Kill™ (ละลายน้ำ) 1.00 %
Satin Cream Maker™ 1.20 %
WaterLube™ Slip 5.00 %
Citric Acid (High Purity, Anhydrous) 0.10 %
น้ำกลั่น ปราศจากเชื้อ 58.70 %
คำตอบ
สวัสดีครับ ทีมงานตรวจสอบสูตรให้แล้วครับ สูตรนี้มีความน่าสนใจมากที่รวมส่วนผสมสำหรับเสริมเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier), พรี/โปรไบโอติกส์ และ BHA สำหรับปัญหาสิวเข้าไว้ด้วยกันครับ
ขอตอบคำถามเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
การเลือกใช้ Laurocapram แทน DMI และเรื่อง pH:
- ที่คุณเข้าใจเรื่อง pH ของ DMI และ Lactobacillus Ferment Lysate นั้นถูกต้องแล้วครับ DMI มักมีข้อจำกัดเรื่อง pH ขั้นต่ำในการใช้งาน ในขณะที่ Lactobacillus Ferment Lysate ควรอยู่ในช่วง pH ที่ไม่สูงเกิน 5.5 เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพ
- การใช้ Laurocapram (Azone) ซึ่งเป็นสารนำพาสารเข้าสู่ผิวที่สามารถทำงานได้ในหลายช่วง pH เป็นทางเลือกที่ดีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความเข้ากันได้ของ pH ระหว่าง DMI กับส่วนผสมอื่นๆ โดยเฉพาะ Lactobacillus Ferment Lysate และ BHA ครับ
- อย่างไรก็ตาม สูตรนี้มีส่วนผสมหลายตัวที่ต้องการ pH เฉพาะ (BHA ต้องการ pH ต่ำเพื่อปลดปล่อย Salicylic Acid แม้จะเป็น Encapsulated ก็ควรอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับการปลดปล่อยของ Encapsulated ชนิดนั้นๆ และ Probiotic Lysates ต้องการ pH ไม่เกิน 5.5) จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวัดและปรับ pH สุดท้ายของสูตรให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับส่วนผสมทั้งหมด โดยทั่วไปอาจจะตั้งเป้าที่ pH ประมาณ 4.0-5.5 ซึ่งเป็นช่วงที่ Encapsulated BHA หลายชนิดทำงานได้ดี และยังอยู่ในช่วงที่ Probiotic Lysates เสถียรครับ
การเปลี่ยนไปใช้ Pro Polymer™:
- สูตรปัจจุบันใช้ Satin Cream Maker™ และ WaterLube™ Slip ซึ่งทำหน้าที่เป็น Emulsifier, Texturizer และช่วยให้เนื้อสัมผัสดีขึ้น
- Pro Polymer™ (Acrylate Crosspolymer) เป็นสารสร้างเนื้อ (Thickener/Gelling Agent) ที่แตกต่างออกไป การเปลี่ยนไปใช้ Pro Polymer™ แทนส่วนผสมเดิม ไม่สามารถทำได้โดยตรง ครับ
- Pro Polymer™ เป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ที่สร้างเนื้อเจลหรือเจลครีม การใช้งานจะต้องพิจารณาความเข้ากันได้กับส่วนผสมอื่นๆ ในสูตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนผสมที่มีประจุหรือเกลือสูง (เช่น Lysates ต่างๆ) และช่วง pH ที่ Pro Polymer™ ชนิดนั้นๆ ทำงานได้ดี
- หากต้องการใช้ Pro Polymer™ จะต้องมีการปรับสูตรใหม่ทั้งหมด และทดสอบความเข้ากันได้ ความเสถียร และเนื้อสัมผัสอย่างละเอียดครับ
ส่วนอื่นๆ ของสูตรมีปัญหาอะไรหรือเปล่า:
- ความเข้ากันได้และความเสถียรของส่วนผสม: สูตรนี้มีส่วนผสมออกฤทธิ์ (Active Ingredients) ในเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างสูงและหลากหลายมาก (เช่น Lysates หลายชนิด, Encapsulated BHA, Skin-mimic™, Laurocapram) การรวมส่วนผสมเหล่านี้เข้าด้วยกันในสูตรเดียวมีความซับซ้อน จำเป็นต้องทำการทดสอบความเสถียรของสูตรอย่างละเอียด ทั้งด้านลักษณะภายนอก (สี กลิ่น เนื้อสัมผัส การแยกชั้น) ค่า pH และประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์เมื่อเวลาผ่านไป
- ศักยภาพในการระคายเคือง: แม้จะมีส่วนผสมที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวและปลอบประโลมผิว แต่การใช้ Encapsulated BHA ที่ 4% ร่วมกับ Laurocapram ที่ 2% ซึ่งเป็นสารนำพาที่ค่อนข้างแรง อาจเพิ่มโอกาสในการระคายเคืองผิวได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย ควรแนะนำให้ผู้ใช้ทดสอบผลิตภัณฑ์ในบริเวณเล็กๆ ก่อนใช้ทั่วใบหน้า หรืออาจพิจารณาลดเปอร์เซ็นต์ของ Laurocapram ลงหากพบว่าระคายเคืองง่าย (แต่การลด Laurocapram อาจส่งผลต่อการนำพา BHA ด้วย)
- การปรับ pH: ย้ำอีกครั้งว่าการปรับ pH สุดท้ายมีความสำคัญมาก เพื่อให้ BHA ทำงานได้ดีและ Probiotic Lysates ยังคงมีประสิทธิภาพและเสถียร
- ระบบกันเสีย: Mild Preserved Eco™ ร่วมกับ 1,2-Hexanediol เป็นระบบกันเสียที่ค่อนข้างอ่อนโยน แนะนำให้ทำการทดสอบประสิทธิภาพระบบกันเสีย (Challenge Test) เพื่อให้แน่ใจว่าสูตรปลอดภัยจากการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ตลอดอายุการใช้งาน
สรุป:
สูตรนี้เป็นสูตรที่น่าสนใจและมีศักยภาพในการดูแลปัญหาผิวหลายด้าน ทั้งเสริมเกราะป้องกันผิว ปรับสมดุลจุลินทรีย์ผิว และดูแลปัญหาสิว การเลือกใช้ Laurocapram แทน DMI เพื่อแก้ปัญหา pH นั้นเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลในบริบทนี้ อย่างไรก็ตาม สูตรนี้มีความซับซ้อนสูง หัวใจสำคัญคือการควบคุมและปรับ pH สุดท้ายให้เหมาะสม รวมถึง การทดสอบความเสถียรและศักยภาพในการระคายเคืองอย่างรอบคอบ การเปลี่ยนสารสร้างเนื้อเป็น Pro Polymer™ จะต้องมีการปรับสูตรและทดสอบใหม่ทั้งหมดครับ
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาสูตรต่อไปนะครับ หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เลยครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

TreMoisture™ (Trehalose)

Natural Moisturizing Amino Acids (e.q. Prodew 400)

Glycosaminoglycans Complex

Encapsulated Salicylic Acid (Powder, Timed-Release)

Laurocapram (Water Soluble)

Rose Hip Oil (Virgin, Fresh)

Dermal Respiratory Factor

Prebio-care (Skin Prebiotic)

WaterLube™ Slip (e.q. Emogel Oil, Lubrajel Oil)

Lactobacillus Ferment Lysate
