สูตร Bubble Bath: การปรับฟอง กลิ่น น้ำ และความเหมาะสมสำหรับเด็ก
คำถาม
เรียน staff,
คือผมลองทำbubblebath สูตรฝรั่งครับมีตามนี้ครับ
Poly suga mulse d9 3%
[url=http://www.myskinrecipes.com/shop/319-%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1:6814i4b8]Fragrance[/url:6814i4b8] oil1%
[url=http://www.myskinrecipes.com/shop/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7/1390-sodium-c14-16-olefin-sulfonate.html:6814i4b8]Sodium C14-16 Olefin Sulfonate[/url:6814i4b8] 30%
[url=http://www.myskinrecipes.com/shop/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7/160-cocamidopropyl-betaine-coco-betaine.html:6814i4b8]Cocamidopropyl Betaine[/url:6814i4b8] 10%
[url=http://www.myskinrecipes.com/shop/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7/1212-disodium-laureth-sulfosuccinate.html:6814i4b8]Disodium Laureth Sulfosuccinate[/url:6814i4b8] 20%
[url=http://www.myskinrecipes.com/shop/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2/1438-microcare-phc.html:6814i4b8]Microcare[/url:6814i4b8] 0.5%
Distalled water 33.5%
อยากสอบถามดังนี้ครับ
1.ถ้าอยากทำให้สูตรนี้ มีฟองมากขึ้น ละเอียดขึ้นเเละคงตัวนานขึ้นต้องใช้สารอะไรเพิ่มครับ
2.อยากให้กลิ่นคงอยุ่ นาน ขึ้น ต้องทำยังไงครับ(ผมลองไปเล่นเเล้วกลิ่นมันจะจางๆ หายไปครับ)
3.จำเป็นไหมที่ต้องใช้ distalled water ใช้น้ำกรองเเทนได้ไหมครับ
4.ดูจากสูตรเเล้วเด็กสามารถใช้ได้ไหมครับ ผมอยากจะให้สูตรเป็น non SLSครับ
ขอบคุณมากๆครับ
คำตอบ
คำแนะนำการทำ Bubble Bath
ขอบคุณที่แบ่งปันสูตร Bubble Bath ครับ นี่คือคำแนะนำสำหรับคำถามของคุณ:
1. การเพิ่มฟอง ทำให้ฟองละเอียดขึ้น และคงตัวนานขึ้น
สูตรปัจจุบันของคุณใช้ Sodium C14-16 Olefin Sulfonate, Cocamidopropyl Betaine และ Disodium Laureth Sulfosuccinate ซึ่งเป็นสารลดแรงตึงผิวที่ดีในการสร้างฟอง หากต้องการเพิ่มฟองให้มากขึ้น ละเอียดขึ้น และคงตัวนานขึ้น สามารถพิจารณาเพิ่มสารลดแรงตึงผิวร่วม (co-surfactant) หรือสารช่วยเพิ่มฟองโดยเฉพาะ:
- Lauramine Oxide: เป็นสารลดแรงตึงผิวประเภท Amphoteric ที่ช่วยเสริมการสร้างฟองและทำให้ฟองคงตัวได้ดี สามารถเข้ากันได้กับสารลดแรงตึงผิวอื่นๆ ในสูตรของคุณ
- Laura-Foam-50 (Lauramidopropyl Hydroxysultaine): เป็นสารลดแรงตึงผิวประเภท Amphoteric อีกชนิดที่เน้นการสร้างฟอง เหมาะสำหรับใช้ร่วมกับสารลดแรงตึงผิวหลักเพื่อการทำความสะอาด
- Creamy Foamer (Sodium Methyl Cocoyl Taurate): เป็นสารลดแรงตึงผิวประจุลบ (Anionic) ที่อ่อนโยน ปราศจากซัลเฟต ทำหน้าที่เป็น Foam Booster ช่วยให้เกิดฟองที่นุ่มและละเอียด สามารถช่วยปรับปรุงคุณภาพและความคงตัวของฟองได้
- BabyFoam (Sodium Cocoyl Isethionate): เป็นสารลดแรงตึงผิวประจุลบ (Anionic) ที่อ่อนโยนมาก และให้ฟองในปริมาณสูง มีลักษณะเป็นผง ซึ่งอาจต้องปรับวิธีการผสมในสูตรของคุณ
การเพิ่มส่วนผสมเหล่านี้ในปริมาณที่เหมาะสม (เริ่มต้นจากเปอร์เซ็นต์น้อยๆ และปรับเพิ่มตามต้องการ) สามารถช่วยปรับปรุงคุณสมบัติของฟองใน Bubble Bath ของคุณได้อย่างมาก
2. การทำให้กลิ่นหอมติดทนนานขึ้น
น้ำหอมในผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักอาจระเหยได้เร็ว เพื่อช่วยให้กลิ่นติดทนนานขึ้น คุณสามารถใช้สารตรึงกลิ่น (fragrance fixative) หรือพิจารณาเทคโนโลยี Encapsulation:
- Dipropylene Glycol: มักใช้เป็นตัวทำละลายน้ำหอม และยังทำหน้าที่เป็นสารตรึงกลิ่น ช่วยชะลอการระเหยของน้ำหอม
- Encap Shampoo (2-tert-butylcyclohexyl acetate): ส่วนผสมนี้ทำหน้าที่เป็นสารตรึงกลิ่น ช่วยยืดอายุของกลิ่นเมื่อผสมกับน้ำหอม
- AromaLock (Fragrance Encapsulation Service): เพื่อความติดทนนานสูงสุด โดยเฉพาะกับกลิ่นที่ระเหยง่าย การนำน้ำหอมไปทำ Encapsulation ให้อยู่ในรูปผง จะช่วยให้กลิ่นติดผิวได้ดีขึ้นและค่อยๆ ปล่อยกลิ่นออกมาเป็นระยะเวลานานขึ้น นี่เป็นบริการที่คุณสามารถนำน้ำหอมไปผ่านกระบวนการนี้ได้
การใช้สารตรึงกลิ่น เช่น Dipropylene Glycol (หากยังไม่ได้ใช้เป็นตัวทำละลายน้ำหอม) หรือ Encap Shampoo หรือการพิจารณาบริการ Encapsulation สามารถช่วยให้ Bubble Bath ของคุณคงกลิ่นหอมได้นานขึ้น
3. ความจำเป็นในการใช้น้ำกลั่น ใช้น้ำกรองแทนได้หรือไม่
แม้ว่าน้ำกรองจะดีกว่าน้ำประปาทั่วไป แต่ แนะนำอย่างยิ่งให้ใช้น้ำกลั่น สำหรับการทำเครื่องสำอาง น้ำกลั่นปราศจากแร่ธาตุ เกลือ และจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนอยู่ในน้ำกรองได้ สิ่งเจือปนเหล่านี้อาจส่งผลต่อความคงตัว ความใส และประสิทธิภาพของสารกันเสียในสูตร ทำให้เกิดการเปลี่ยนสี การแยกชั้น หรือการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เมื่อเวลาผ่านไป การใช้น้ำกลั่นช่วยให้มั่นใจในคุณภาพที่สม่ำเสมอและลดความเสี่ยงของการปนเปื้อน
4. ความเหมาะสมสำหรับเด็ก และการทำให้เป็น Non-SLS
สูตรของคุณ เป็น Non-SLS อยู่แล้ว ครับ Sodium C14-16 Olefin Sulfonate และ Disodium Laureth Sulfosuccinate ไม่ใช่สารกลุ่มซัลเฟต และ Cocamidopropyl Betaine ก็เป็นสารลดแรงตึงผิวประเภท Amphoteric ที่อ่อนโยน
สำหรับความเหมาะสมกับเด็ก แม้ว่าสารลดแรงตึงผิวที่ใช้จะเป็น Non-SLS และโดยทั่วไปถือว่าอ่อนโยนกว่าสารกลุ่มซัลเฟต แต่ Sodium C14-16 Olefin Sulfonate โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความเข้มข้นสูงถึง 30% อาจ ยังคงก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวที่บอบบาง รวมถึงผิวเด็กได้ Disodium Laureth Sulfosuccinate (SulFoam) และ Cocamidopropyl Betaine เป็นตัวเลือกที่อ่อนโยนกว่า
เพื่อให้สูตรอ่อนโยนและเหมาะสมกับเด็กมากขึ้น สิ่งสำคัญคือต้อง ปรับค่า pH ของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปให้อยู่ในช่วง pH ที่เหมาะสมกับผิว ซึ่งโดยทั่วไปคือระหว่าง 5.0 ถึง 6.0 เนื่องจาก Sodium C14-16 Olefin Sulfonate มีค่า pH สูง (8-9) การปรับ pH จึงจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความอ่อนโยน คุณอาจพิจารณาลดเปอร์เซ็นต์ของ Sodium C14-16 Olefin Sulfonate และเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของสารลดแรงตึงผิวร่วมที่อ่อนโยนกว่า เช่น Cocamidopropyl Betaine, Disodium Laureth Sulfosuccinate, BabyFoam หรือ IseFoam แทนได้
การปรับค่า pH และอาจปรับเปลี่ยนส่วนผสมของสารลดแรงตึงผิวให้มีสัดส่วนของสารที่อ่อนโยนมากๆ มากขึ้น จะช่วยให้คุณได้สูตร Bubble Bath ที่อ่อนโยนและเหมาะสมกับผิวบอบบางของเด็กมากขึ้นครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Cocamidopropyl Betaine

Dipropylene glycol

IseFoam™ (Sodium Lauroyl Methyl Isethionate)

Encap Shampoo (2-tert-butylcyclohexyl acetate)

Laura-Foam-50™ (Lauramidopropyl Hydroxysultaine)
