เครื่องโฮโมจิไนเซอร์ vs. เครื่องปั่นทั่วไป: การใช้งานในสูตรเครื่องสำอางและข้อควรระวังความเร็ว
คำถาม
อยากสอบถามความแตกต่างระหว่างเครื่องโฮโมจิไนเซอร์กับเครื่องปั่นทั่วไปสำหรับการพัฒนาสูตรเครื่องสำอางค่ะ
- ความแตกต่างหลักในการออกแบบและกลไกการทำงานคืออะไรคะ?
- ควรใช้เครื่องโฮโมจิไนเซอร์เมื่อใด และเครื่องปั่นทั่วไปเพียงพอเมื่อใด?
- ข้อดีและข้อเสียทั่วไปของการใช้เครื่องโฮโมจิไนเซอร์คืออะไรคะ?
- เครื่องมือเหล่านี้มีผลต่อเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปอย่างไรบ้างคะ (เช่น เนื้อเจล เซรั่ม ครีม โทนเนอร์)?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีส่วนผสมบางชนิดที่ต้องระมัดระวังเกี่ยวกับความเร็วในการปั่นเมื่อใช้เครื่องโฮโมจิไนเซอร์หรือไม่คะ? เช่น:
- สารสร้างเนื้อครีม/เจล ที่มีองค์ประกอบเป็น Polymer (เช่น
Pro Polymer - รหัสสินค้า 234
,Light Cream Maker - รหัสสินค้า 141
,Carbomer - รหัสสินค้า 651
,Easy Cream Maker - รหัสสินค้า 533
,Rich Cream Maker - รหัสสินค้า 646
)? ควรปั่นไม่เกินความเร็วเท่าใดคะ? - สารที่เป็น Encapsulation? ควรใช้ความเร็วเท่าใด และเพราะอะไรคะ?
Water in Oil serums (รหัสสินค้า 726)
?
และช่วยชี้แจงด้วยค่ะว่าการกระจายตัวของผงกันแดด Titanium Dioxide Pigment (Make-Up/BB/CC) (รหัสสินค้า 295)
ชนิดธรรมดาในสูตรกันแดด จำเป็นต้องใช้เครื่องโฮโมจิไนเซอร์เพื่อให้กระจายตัวได้ดีและมีประสิทธิภาพในการกันแดดหรือไม่คะ แตกต่างจากการใช้ Titanium Dioxide Nano EasyDisperse™ (รหัสสินค้า 236)
ซึ่งใช้เครื่องปั่นทั่วไปได้ อย่างไรคะ?
คำตอบ
เครื่องโฮโมจิไนเซอร์แตกต่างจากเครื่องปั่นทั่วไปในด้านการออกแบบและกลไกการทำงานเป็นหลัก เครื่องโฮโมจิไนเซอร์ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะทั้งลักษณะหัวปั่นและกำลังของเครื่อง เพื่ออัดกระแทกส่วนผสมในสูตรผ่านช่องเล็กๆ ในหัวปั่น ทำให้ขนาดอนุภาคของทุกอย่างในสูตรมีขนาดเล็กมากและเข้าเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์
ในทางกลับกัน เครื่องปั่นทั่วไปผลที่ได้จากการปั่นจะขึ้นอยู่กับการออกแบบหัวปั่นเป็นหลัก แต่จะไม่มีการอัดผ่านช่องเล็กๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นของเครื่องโฮโมจิไนเซอร์
การเลือกระหว่างเครื่องโฮโมจิไนเซอร์และเครื่องปั่นทั่วไปขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์และสูตรที่คุณต้องการผลิตโดยสิ้นเชิง
ข้อดีของเครื่องโฮโมจิไนเซอร์ (สำหรับการใช้งานเฉพาะทาง):
- ช่วยลดขนาดอนุภาคได้อย่างละเอียดมากและกระจายตัวส่วนผสมได้อย่างสม่ำเสมอ
- จำเป็นสำหรับสูตรที่ต้องการให้ส่วนผสมถูกอัดผ่านช่องเล็กๆ
ข้อเสียของเครื่องโฮโมจิไนเซอร์:
- ทำความสะอาดยุ่งยาก
- ตั้งเครื่องยุ่งยาก
- เกิดความร้อนสูง
- ค่าพลังงานสูงกว่า
ควรใช้เครื่องโฮโมจิไนเซอร์เมื่อใด:
- จำเป็นสำหรับผลิตภัณฑ์บางประเภทหรือสูตรบางประเภทที่ต้องการการบีบอัดเนื้อสูตรผ่านช่องขนาดเล็ก เช่น สูตรครีมกันแดดที่ใช้ผงกันแดดชนิดธรรมดา (ไม่ใช่ชนิดนาโนหรือชนิด EasyDisperse) เช่น Titanium Dioxide Pigment (Make-Up/BB/CC) (รหัสสินค้า 295) เพื่อให้กระจายตัวได้ดีและมีประสิทธิภาพในการกันแดด
เครื่องปั่นทั่วไปเพียงพอเมื่อใด:
- สำหรับครีม เจล หรือเซรั่มทั่วไปที่ไม่มีส่วนผสมที่ต้องการการกระจายตัวที่ละเอียดเป็นพิเศษ
- เมื่อใช้ส่วนผสมที่กระจายตัวได้ง่าย เช่น Titanium Dioxide Nano EasyDisperse™ (รหัสสินค้า 236) สามารถใช้เครื่องปั่นความเร็วต่ำได้ แม้ว่าส่วนผสมเหล่านี้อาจมีราคาสูงกว่า
การใช้เครื่องโฮโมจิไนเซอร์กับเนื้อผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน:
- เครื่องโฮโมจิไนเซอร์สามารถใช้สร้างเนื้อผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เช่น เจล เซรั่ม ครีม โทนเนอร์ แต่ต้องปรับความเร็วรอบให้เหมาะสม
ส่วนผสมที่ต้องระวังเรื่องความเร็วในการปั่นด้วยเครื่องโฮโมจิไนเซอร์:
- สารสร้างเนื้อครีม/เจล ที่มีองค์ประกอบเป็น Polymer (เช่น Pro Polymer - รหัสสินค้า 234, Light Cream Maker - รหัสสินค้า 141, Carbomer - รหัสสินค้า 651, Easy Cream Maker - รหัสสินค้า 533, Rich Cream Maker - รหัสสินค้า 646): ไม่ควรปั่นเกิน 2500 รอบ
- สารที่เป็น Encapsulation: ควรใช้ความเร็วต่ำ หากความเร็วสูงเกินไปอาจทำให้แคปซูลเสียหายได้ ผู้ผลิตมักจะกำหนดอัตราความเร็วสูงสุดในการปั่นมาด้วย
- Water in Oil serums (รหัสสินค้า 726): สามารถทำได้ แต่ต้องปรับความเร็ว (ใช้ความเร็วต่ำสำหรับชนิดที่เป็น Encapsulation)
ทางทีมงานได้รับทราบข้อเสนอแนะในการเพิ่มข้อมูลความเร็วที่ควรระวังสำหรับส่วนผสมบางชนิดลงในหน้าเว็บไซต์แล้ว
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Light Cream Maker™

Pro Polymer™ (Gel Maker)

Titanium Dioxide 250nm Pigment (Non-Treated)

Easy Cream Maker™

Carbomer 940 (EasyDisperse™, France)
