เปรียบเทียบ Repair Activator และ Pro-Niacin

คุณสอบถามเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง Repair Activator (Bifida Ferment Lysate) และ Pro-Niacin (Myristyl Nicotinate) และว่าจะสามารถใช้แทนกันในสูตรเดิมได้หรือไม่ แม้ว่าส่วนผสมทั้งสองชนิดจะมีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอย แต่ก็ทำงานแตกต่างกันและมีคุณสมบัติที่ต่างกัน ทำให้ไม่สามารถใช้แทนกันได้โดยตรงค่ะ

• Repair Activator (Bifida Ferment Lysate):

  • เน้นการช่วยซ่อมแซม DNA ของผิว โดยเฉพาะเมื่อถูกทำลายจากแสง UVA ช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซม DNA ตามธรรมชาติของผิว
  • สามารถ ละลายในน้ำ

• Pro-Niacin (Myristyl Nicotinate):

  • เป็นวิตามินบี 3 ในรูปแบบที่ละลายในน้ำมัน มีคุณสมบัติเด่นในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย ปรับปรุงสีผิวและเนื้อผิวให้สม่ำเสมอขึ้น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในผิว และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
  • สามารถ ละลายในน้ำมัน

ความแตกต่างที่สำคัญและการใช้แทนกัน:

ความแตกต่างหลักอยู่ที่กลไกการทำงานและการละลาย Repair Activator ทำงานที่ระดับการซ่อมแซม DNA ในขณะที่ Pro-Niacin (Myristyl Nicotinate) ให้ประโยชน์ที่หลากหลายกว่า ทั้งในด้านเกราะป้องกันผิว ความชุ่มชื้น เนื้อสัมผัส และสีผิว ซึ่งเป็นผลมาจากคุณสมบัติของวิตามินบี 3

ที่สำคัญคือ Repair Activator ละลายในน้ำ ส่วน Pro-Niacin (Myristyl Nicotinate) ละลายในน้ำมัน การแทนที่ส่วนผสมที่ละลายในน้ำมันด้วยส่วนผสมที่ละลายในน้ำ (หรือกลับกัน) ในสูตรเดิมโดยทั่วไปไม่สามารถทำได้โดยตรง หากไม่ปรับเปลี่ยนเบสของสูตรอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจะส่งผลต่อการกระจายตัวและการเข้ากันได้ของส่วนผสมในผลิตภัณฑ์

ดังนั้น คุณไม่สามารถนำ Pro-Niacin (Myristyl Nicotinate) มาใช้แทน Repair Activator ในสูตรเดิมได้โดยตรงโดยไม่ต้องปรับปรุงสูตร อย่างไรก็ตาม ทั้งสองส่วนผสมนี้สามารถนำมาใช้ร่วมกันในสูตรเดียวกันได้ ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่คุณต้องการและประเภทของสูตร (เช่น อิมัลชัน เซรั่ม เป็นต้น)

ควรพิจารณาปัญหาผิวที่คุณต้องการแก้ไขโดยเฉพาะ เมื่อเลือกใช้หรือผสมผสานส่วนผสมเหล่านี้ค่ะ