เปรียบเทียบ Ceramide Complex ชนิดผงแบบใหม่ กับแบบครีมเดิม: อัตราใช้ ข้อดี และต้นทุน
คำถาม
เดิมเคยใช้ CeraTouch
แบบเก่าที่เป็นครีม โดยมีอัตราการใช้ที่แนะนำ 3-10% และมีราคาหนึ่ง ตอนนี้มีแบบใหม่ที่เป็นผง คือ Ceramide Complex
(CeraTouch
™, Powder) โดยมีอัตราการใช้ที่ระบุ 1-7% (แนะนำ 3-4%) และมีราคาที่แตกต่างกันมาก ผมมีคำถามดังนี้ครับ:
- อัตราการใช้
Ceramide Complex
(CeraTouch
™, Powder) ชนิดผงที่แนะนำถูกต้องแล้วใช่ไหมครับ (อัตราการใช้: 1-7% (แนะนำ 3-4%)) - แบบชนิดผงดีกว่าแบบเดิมอย่างไรครับ เพราะราคาต่างกันเยอะมาก (เทียบจากปริมาณสูงสุดที่แนะนำ)
- ทำไมจึงมีการเปลี่ยนสภาพของวัตถุดิบครับ เพราะดูเหมือนจะทำให้ต้นทุนสูงกว่าเดิมมาก ผมยังไม่ทราบแนวทางในการปรับสูตรสินค้าเลยเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
คำตอบ
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Ceramide Complex ชนิดผงแบบใหม่
ขอบคุณสำหรับคำถามโดยละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนจาก Ceramide Complex (CeraTouch™) รูปแบบครีมแบบเก่า มาเป็น Ceramide Complex (Water/Oil Dispersible Powder) แบบใหม่ และการเปลี่ยนแปลงอัตราการใช้และต้นทุนที่เกี่ยวข้องครับ
นี่คือคำตอบสำหรับคำถามของคุณ โดยอ้างอิงจากข้อมูลผลิตภัณฑ์:
อัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับชนิดผง:
จากข้อมูลผลิตภัณฑ์สำหรับ Ceramide Complex (Water/Oil Dispersible Powder) อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 0.1-3% โดย แนะนำที่ 1% สำหรับการใช้งานทั่วไป อัตราที่คุณแจ้งมาคือ 1-7% (แนะนำ 3-4%) แตกต่างจากข้อมูลที่ระบุในรายละเอียดผลิตภัณฑ์ โปรดอ้างอิงข้อมูลจากหน้าผลิตภัณฑ์สำหรับอัตราการใช้ที่ถูกต้องที่สุดครับชนิดผงดีกว่าแบบเดิมอย่างไร และความแตกต่างของราคา:
Ceramide Complex (Water/Oil Dispersible Powder) ถูกอธิบายว่าเป็น เซราไมด์เข้มข้น ที่ผ่านการ ทำอิมัลชันล่วงหน้า เพื่อให้สามารถกระจายตัวได้โดยตรงทั้งในเฟสน้ำและเฟสน้ำมัน ซึ่งมีข้อดีที่สำคัญเหนือกว่าเบสครีมสำเร็จรูป:- ความเข้มข้นสูงกว่า: รูปแบบผงโดยทั่วไปจะมีความเข้มข้นสูงกว่าครีมมาก ซึ่งหมายความว่าคุณจำเป็นต้องใช้เปอร์เซ็นต์ที่น้อยลงในสูตรสำเร็จรูปของคุณเพื่อให้ได้ระดับเซราไมด์ที่ต้องการ ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการใช้ที่แนะนำที่ต่ำกว่า (0.1-3% เทียบกับ 3-10% สำหรับครีมแบบเก่า)
- ความหลากหลายในการใช้งาน: การที่สามารถกระจายตัวได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน ทำให้ง่ายต่อการนำไปผสมในสูตรประเภทต่างๆ ได้กว้างขวางกว่า (ครีม, โลชั่น, เจล, ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก) เมื่อเทียบกับครีมสำเร็จรูป
- ความเสถียรที่เพิ่มขึ้น: รูปแบบผงบางครั้งสามารถให้ความเสถียรในระยะยาวได้ดีกว่าอิมัลชัน
ราคาต่อกรัมที่สูงขึ้นสำหรับรูปแบบผงมีแนวโน้มมาจากความเข้มข้นที่สูงขึ้น และกระบวนการผลิตขั้นสูงที่จำเป็นในการสร้างผงที่กระจายตัวได้ดีและมีความเสถียร ซึ่งประกอบด้วยเซราไมด์, Hydrogenated Lecithin และ Glyceryl Stearate แม้ว่าราคาต่อกรัมจะสูงกว่า แต่อัตราการใช้ที่แนะนำที่ต่ำกว่าหมายความว่าต้นทุน ต่อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป อาจใกล้เคียงกัน หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของเซราไมด์ที่คุณต้องการในสูตร
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีเซราไมด์ที่ก้าวหน้ากว่านั้นอีก เช่น Ceracare™ Liposome-3 ซึ่งใช้เทคโนโลยีนาโนเพื่อเพิ่มการซึมผ่านเข้าสู่ผิวและความสามารถในการออกฤทธิ์ (bioavailability) รูปแบบที่ก้าวหน้าเหล่านี้ให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า แต่ก็มีต้นทุนที่สูงกว่าเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงช่วงของเทคโนโลยีและต้นทุนที่เกี่ยวข้องในส่วนผสมเซราไมด์
เหตุผลในการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต:
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของวัตถุดิบมีแนวโน้มมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีส่วนผสมเครื่องสำอาง การเปลี่ยนมาใช้ผงเข้มข้นที่กระจายตัวได้ ช่วยให้สามารถสร้างสูตรที่มีความยืดหยุ่นและอาจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้นทุนที่สูงขึ้นสะท้อนถึงการลงทุนในการวิจัย กระบวนการผลิต และการทำให้ส่วนผสมออกฤทธิ์มีความเข้มข้นแม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบต่อกรัมจะสูงขึ้น แต่โปรดพิจารณาต้นทุนโดยอิงจาก ความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพ ในผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปของคุณ หากเดิมคุณเคยใช้ครีมแบบเก่า 10% และตอนนี้ต้องการผงแบบใหม่เพียง 1-3% เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงหรือดีกว่า ต้นทุนส่วนผสมต่อการผลิตหนึ่งครั้งอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่ากับการเปรียบเทียบราคาต่อกรัมโดยตรง คุณอาจต้องปรับกระบวนการผลิตของคุณเพื่อให้ผงกระจายตัวได้อย่างถูกต้อง (โดยใช้ความร้อนและการผสมตามที่ระบุในข้อมูลผลิตภัณฑ์) แต่รูปแบบใหม่นี้มีศักยภาพในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและหลากหลายมากขึ้นครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง
