เปรียบเทียบ L-Ascorbic Acid และ AA2G (วิตามินซีเสถียร) ในการพัฒนาสูตร
คำถาม
วิตามินซีที่ใช้ในชุดทดลอง Vitamin C E Ferulic (L-Ascorbic Acid) แตกต่างจาก Ascorbyl Glucoside (AA-2G™) หรือ Stabilized Vitamin C (Liquid AA2G™) อย่างไร?
สามารถใช้วิตามินซี AA2G™ แทนได้หรือไม่ และมีผลกระทบอย่างไรต่อ:
- ความเสถียร
- ประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการดูดซึม
- ข้อกำหนดในการพัฒนาสูตร (โดยเฉพาะการปรับค่า pH ให้อยู่ในช่วง 6.5-6.8 โดยใช้สารเช่น
Citrate Buffer
หรือL-Arginine
)?
คำตอบ
การเปรียบเทียบวิตามินซีในชุดทดลองกับ AA2G™
ชุดทดลอง Vitamin C E Ferulic ใช้ L-Ascorbic Acid เป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเป็นวิตามินซีรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดเมื่อสดใหม่ เพราะผิวสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ทันที โดยในชุดนี้มีการใช้วิตามินอีและ Ferulic Acid เพื่อช่วยเพิ่มความเสถียรให้กับ L-Ascorbic Acid
ส่วน Ascorbyl Glucoside (AA-2G™) หรือ Stabilized Vitamin C (Liquid AA2G™) เป็นวิตามินซีรูปแบบที่มีความเสถียรสูงกว่า L-Ascorbic Acid มาก แม้จะอยู่ในรูปของเหลวหรือสัมผัสความร้อน (ไม่เกิน 40°C) แต่ AA2G™ จะต้องถูกเอนไซม์ในผิวหนังเปลี่ยนให้อยู่ในรูป L-Ascorbic Acid ก่อนที่ผิวจะนำไปใช้ได้ ซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้การออกฤทธิ์ไม่รวดเร็วเท่า L-Ascorbic Acid ที่ใช้ได้ทันที แต่ข้อดีคือ AA2G™ จะค่อยๆ ถูกปล่อยและดูดซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานกว่า ทำให้มีความเสถียรและคงประสิทธิภาพได้นานกว่า
สรุป:
- หากเน้นประสิทธิภาพสูงสุดและรวดเร็วที่สุดเมื่อผลิตภัณฑ์ยังสดใหม่ L-Ascorbic Acid ในชุดทดลองจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
- หากต้องการความเสถียรของผลิตภัณฑ์ที่เก็บไว้ได้นานขึ้น และการออกฤทธิ์ที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ AA2G™ จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในแง่ของความคงตัว
ดังนั้น การเปลี่ยนมาใช้ AA2G™ แทนวิตามินซีในชุดทดลอง จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีความเสถียรมากขึ้น เก็บรักษาได้นานขึ้น แต่ประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ ทันที อาจจะไม่เท่า L-Ascorbic Acid ที่สดใหม่ อย่างไรก็ตาม AA2G™ ยังคงให้ประโยชน์ด้านความกระจ่างใสและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดีเช่นกัน เพียงแต่อยู่ในรูปแบบที่ค่อยๆ ออกฤทธิ์
ในการใช้ AA2G™ จำเป็นต้องปรับค่า pH ของสูตรให้อยู่ในช่วง 6.5-6.8 เพื่อให้ AA2G™ มีความเสถียรสูงสุด ซึ่งอาจต้องใช้ Citrate Buffer หรือ L-Arginine ช่วยในการปรับ pH.
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin C E Ferulic
