Q&A สูตรเครื่องสำอาง: วิตามินซี, pH, ส่วนผสม, ระบบนำส่ง

ถามโดย: tou_lusifel เมื่อ: January 25, 2013 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

มีคำถามเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรเครื่องสำอางจากกระทู้ก่อนหน้าครับ:

  1. ในสูตร Anhydrous Vit C ที่เคยโพสต์ลงกระทู้ อยากถามว่า หลังผสมแล้ว ประสิทธิภาพจะดีหรือแย่กว่าพวก Ethyl ascorbic อะครับ
  2. ลักษณะสูตร anhydrous Vit C จะมีเนื้อสารเป็นลักษณะไหนอะครับ ครีม/เจล/น้ำมัน? การดูดซึมจะดีไหมครับ?
  3. ลักษณะของ anhydrous Vit C หลังผสมแล้วจะมี PH เป็นกรดใช่ไหมอะครับ (L-ascorbic เป็นกรด)?
  4. สมมุติว่าถ้าเราทา สารหนึ่งๆ สมมุติว่าเป็นวิตซีที่เป็นกรด แล้วถ้าเราทาครีมตัวต่อไปเลย เช่นครีมที่มี PH เป็นกลาง มันจะส่งผลต่อสารทั้ง 2 ชนิดเลยใช่ไหมครับ
    • Vit C ที่พอโดนครีมที่เป็นกลางก็จะทำให้ออกฤทธิ์น้อยลง (ด้วยความที่ Relative แล้วเป็นด่างมากขึ้น)
    • ครีมที่เป็นกลางเหล่านั้นก็จะโดนความเป็นกรดของวิตซี ทำให้ครีมออกฤทธิ์ได้ไม่ดีด้วย

      แบบนี้ผมเข้าใจถูกไหมอะครับ
  5. ในกรณีส่วนผสมต่างๆ ที่เคยอ่านไป สารบางอย่างอยู่ในภาวะกรด ซึ่งจำเป็นต้องเติมเบสเพื่อปรับ PH สุดท้ายให้เข้ากับผิวมนุษย์ อยากถามว่า ตอนขั้นตอนที่เราปรับ PH เท่ากับว่าเราไปปรับให้สาร Active ตัวนั้นออกฤทธิ์ได้ไม่ดีด้วยหรือเปล่าอะครับ เช่น สารตัวหนึ่งจะออกฤทธิ์ ที่สภาวะกรด แต่เราไปเติมเบสเพื่อให้ Ph สารทั้งหมดเข้ากับผิวเราได้ แบบนี้เท่ากับว่า เราเติมเบสไป สารตัวนั้นก็จะทำงานได้ไม่ดี?
  6. Allantoin, bisabolol, betain ใช้เพื่อกันแพ้ เหมือนกันใช่หรือเปล่าอะครับ แต่สารแต่ละตัวอันไหนดีสุดอะครับ
  7. สาร ไลโปโซม ที่นิยมใส่ในเครื่องสำอาง จุดประสงค์เพื่อเป็นตัวพาสาร Active ให้เข้าไปในเซลผิวใช่ไหมครับ แล้วเราจะรู้ได้ไงครับว่ามันจะเอาสาร active ตัวไหนเข้าไปในเซลผิวด้วย กรณีที่เราใส่สาร active เยอะพอสมควร
  8. Propylene glycol กับ Butylene glycol มีความแตกต่างเรื่องการใช้งานอย่างไรครับ

ขอบพระคุณครับ

คำตอบ

คำตอบสำหรับคำถามของคุณเกี่ยวกับการผสมเครื่องสำอาง:

  1. ประสิทธิภาพของ Anhydrous Vit C (L-Ascorbic Acid) เทียบกับ Ethyl Ascorbic Acid (EAA):

    • L-Ascorbic Acid (L-AA) เป็นวิตามินซีรูปแบบบริสุทธิ์ และอาจมีศักยภาพสูงสุด หาก มีความเสถียรและสามารถนำส่งเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สูตรแบบ Anhydrous (ไม่มีน้ำ) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ L-AA มีความเสถียร
    • Ethyl Ascorbic Acid (EAA) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินซีที่มีความเสถียร สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี และจะถูกเปลี่ยนเป็น L-AA ในผิวหนัง
    • การเปรียบเทียบประสิทธิภาพหลังการผสม/การทาเป็นเรื่องซับซ้อน ทั้งสองรูปแบบสามารถมีประสิทธิภาพสูงได้ ประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับสูตรเฉพาะ ความเข้มข้น ความเสถียร และการซึมผ่านของผิว สูตร Anhydrous L-AA ที่ดีสามารถมีศักยภาพสูงได้ เช่นเดียวกับเซรั่ม EAA ที่มีความเสถียร
  2. ลักษณะเนื้อสัมผัสและการดูดซึมของ Anhydrous Vit C:

    • Anhydrous หมายถึง ไม่มีน้ำ เนื้อสัมผัสโดยทั่วไปจึงไม่ใช่ครีมหรือเจล (ซึ่งมักเป็นอิมัลชันหรือสารแขวนลอยที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ) แต่จะเป็นเซรั่มเนื้อน้ำมัน บาล์ม หรือเนื้อข้น โดยใช้เบส เช่น ซิลิโคน น้ำมัน หรือไกลคอล
    • การดูดซึมแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับส่วนผสมพื้นฐานและสารส่งเสริมการซึมผ่านที่ใช้ในสูตร
  3. ค่า pH ของ Anhydrous Vit C หลังการผสม/การทา:

    • ใช่ L-Ascorbic Acid เป็นกรด แม้ว่าสูตรแบบ Anhydrous จะไม่มีค่า pH ที่วัดได้ แต่เมื่อสัมผัสกับความชื้นบนผิวหนังหรือผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ L-AA จะละลายและสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดขึ้น (โดยทั่วไปค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับการซึมผ่านที่ดีที่สุดคือ 2.5-3.5)
  4. การทา Vit C ที่เป็นกรด ตามด้วยครีมที่มีค่า pH เป็นกลาง:

    • ถูกต้อง การทาผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรดตามด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH สูงกว่า (เป็นกลางหรือด่างมากขึ้น) จะทำให้ทั้งสองชั้นผสมกันบนผิวหนัง
    • การผสมนี้จะเพิ่มค่า pH ของชั้น Vit C ซึ่งอาจลดการซึมผ่านและประสิทธิภาพของ L-AA ได้
    • นอกจากนี้ ความเป็นกรดของผลิตภัณฑ์ Vit C ยังลดค่า pH ของครีมที่ทาตามลง ซึ่งอาจส่งผลต่อความเสถียรหรือประสิทธิภาพของส่วนผสมที่ไวต่อค่า pH ในครีมนั้นได้
  5. การปรับค่า pH ของส่วนผสมออกฤทธิ์:

    • ถูกต้อง หากส่วนผสมออกฤทธิ์ทำงานได้ดีที่สุดในช่วงค่า pH เฉพาะ (เช่น เป็นกรด) แต่ค่า pH สุดท้ายของผลิตภัณฑ์ถูกปรับให้ห่างจากค่าที่เหมาะสมนี้ (เช่น เพิ่มค่า pH เพื่อความสบายผิว) ก็อาจลดประสิทธิภาพของส่วนผสมออกฤทธิ์นั้นได้ ผู้คิดค้นสูตรจะต้องสร้างสมดุลระหว่างค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์กับค่า pH ที่เหมาะสมสำหรับสุขภาพและความสบายของผิว
  6. Allantoin, Bisabolol, Betaine สำหรับการปลอบประโลม/ลดการระคายเคือง:

    • ใช่ ทั้งสามชนิดถูกใช้เพื่อคุณสมบัติในการปลอบประโลม ให้ความชุ่มชื้น หรือลดการระคายเคือง
    • Allantoin: ปลอบประโลมผิว ส่งเสริมการสมานแผล ให้ความชุ่มชื้น
    • Bisabolol: มีฤทธิ์ต้านการอักเสบสูง ลดรอยแดง
    • Betaine: สารให้ความชุ่มชื้น (Humectant), ปกป้องเซลล์จากความเครียด (Osmoprotectant), ลดการระคายเคืองจากสารลดแรงตึงผิว, เพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว
    • ไม่มีตัวใดที่ "ดีที่สุด" เพียงตัวเดียว ทั้งสามมีกลไกที่แตกต่างกันเล็กน้อยและมักใช้ร่วมกันเพื่อให้เกิดผลเสริมฤทธิ์กัน Bisabolol มักถูกกล่าวถึงว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่ทรงพลัง
  7. ไลโปโซมเป็นระบบนำส่งสาร:

    • ใช่ วัตถุประสงค์หลักของการใช้ไลโปโซมในเครื่องสำอางคือการเป็นระบบนำส่งสารออกฤทธิ์ โดยจะห่อหุ้มสารออกฤทธิ์เพื่อช่วยให้ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • ไลโปโซมประกอบด้วยชั้นไขมันสองชั้น สามารถห่อหุ้มสารออกฤทธิ์ที่ละลายน้ำได้ไว้ในแกนกลางที่เป็นน้ำ และห่อหุ้มสารออกฤทธิ์ที่ละลายในไขมันไว้ในชั้นไขมันของตัวเอง
    • ไลโปโซมไม่ได้ "รู้" ว่าจะนำส่งสารออกฤทธิ์ตัวใดโดยเลือกจากหน้าที่ของสารนั้น แต่จะห่อหุ้มสารออกฤทธิ์ที่เข้ากันได้กับโครงสร้างของไลโปโซม (ตามคุณสมบัติการละลาย - ละลายน้ำหรือละลายในไขมัน) ซึ่งมีอยู่ในระหว่างกระบวนการผลิต
    • เมื่อทาลงบนผิว สารออกฤทธิ์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยไลโปโซมจะถูกนำส่งไปพร้อมกัน ไลโปโซมจะทำปฏิกิริยากับเซลล์ผิว (เช่น การรวมตัวกับเยื่อหุ้มเซลล์หรือถูกดูดซึม) และปล่อยสารที่ห่อหุ้มไว้ออกมา
  8. ความแตกต่างในการใช้งานระหว่าง Propylene Glycol และ Butylene Glycol:

    • Propylene Glycol (PG) และ Butylene Glycol (BG) เป็นส่วนผสมทั่วไปในเครื่องสำอางที่มีหน้าที่คล้ายคลึงกัน: เป็นสารให้ความชุ่มชื้น (ดึงดูดน้ำ), ตัวทำละลาย (ช่วยละลายส่วนผสมอื่นๆ) และสามารถเพิ่มการซึมผ่านของส่วนผสมอื่นๆ ได้ ทั้งสองเป็นประเภทของ Diols (แอลกอฮอล์ที่มีหมู่ไฮดรอกซิลสองหมู่)
    • Propylene Glycol: เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เป็นตัวทำละลายที่มีประสิทธิภาพสำหรับส่วนผสมเครื่องสำอางหลากหลายชนิด ในอดีตเคยมีความกังวลเกี่ยวกับการระคายเคืองในบางบุคคลเมื่อใช้ในความเข้มข้นสูง แต่โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยในระดับที่ใช้ในเครื่องสำอางทั่วไป
    • Butylene Glycol: มักถูกมองว่าอ่อนโยนกว่าหรือระคายเคืองน้อยกว่า PG เล็กน้อย แม้ว่าการตอบสนองของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไป สามารถให้ความรู้สึกบนผิวที่แตกต่างกันเล็กน้อย บางครั้งเหนียวน้อยกว่า PG เป็นสารให้ความชุ่มชื้นและตัวทำละลายที่ดีเช่นกัน แม้ว่าคุณสมบัติการละลายอาจแตกต่างจาก PG เล็กน้อยสำหรับส่วนผสมบางชนิด
    • ในการใช้งาน ผู้คิดค้นสูตรจะเลือกระหว่างสองชนิดนี้ (หรือใช้ร่วมกัน) โดยพิจารณาจากความต้องการในการละลายของสูตร ลักษณะเนื้อสัมผัสที่ต้องการ ต้นทุน และกลุ่มเป้าหมาย (เช่น BG บางครั้งถูกเลือกใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่าย)