การพัฒนาสูตรเซรั่มผิวขาวใส ลดริ้วรอย (AsA vs MAP, เปปไทด์, ไฮยา)
คำถาม
ไม่ทราบว่าสาร Active ตัวนี้สามารถผสมเข้าด้วยกันได้หรือไม่ครับ
เนื่องจากค่า Ph ระหว่าง AsA กับ MAP ต่างกันครับ
(Vitamin C + Hya + Peptide Serum)
หรือควรเพิ่ม AsA เป็น 15% แล้วตัด MAP ออกดีหรือไม่อย่างไรครับ
อยากให้ได้ผลลัพธ์เรื่องผิวขาวใสและลดเลือนริ้วรอยที่ดีที่สุด ก่อนขึ้นพัฒนาสูตรครับ
สารที่ต้องการใช้คือ:
- L-ascorbic acid 10%
- Magnesium Ascorbyl Phosphate 5%
- Acetyl Hexapeptide-8 2%
- Sodium Hyaluronate 25%
ผลควรแจ้งให้ทาง RD เพิ่มสาร
- Vitamin E หรือ
- Ferulic Acid และ
- EDTA 0.2%
ด้วยหรือไม่ครับ
ปล.เซรั่มเนื้อเจลใส ไม่ใส่สี กลิ่น และแอลกอฮอล์ ครับ
ปล. 2 ตัวเซรั่มควรบรรจุในขวดดรอปเปอร์สีชา หรือ ขวดพลาสติกสีชาแบบตัวปั๊มดีครับ
ขออภัยหากไม่สามารถชี้แจงรายละเอียดสารอื่นๆได้ท้ั้งหมดครับ
เนื่องจากโรงงานที่ผลิตแจ้งให้ทราบแค่ในส่วนของสาร Active ครับ
คำตอบ
คำแนะนำสำหรับการพัฒนาสูตรเซรั่ม
จากคำถามของคุณเกี่ยวกับการพัฒนาสูตรเซรั่มที่มีส่วนประกอบของ L-Ascorbic Acid (AsA), Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP), Acetyl Hexapeptide-8 และ Sodium Hyaluronate และเป้าหมายของคุณคือผลลัพธ์เรื่องผิวขาวใสและลดเลือนริ้วรอยที่ดีที่สุด นี่คือคำแนะนำจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสูตร:
คุณได้ระบุประเด็นสำคัญได้อย่างถูกต้อง นั่นคือความแตกต่างของค่า pH ระหว่าง L-Ascorbic Acid (AsA) และ Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP)
- L-Ascorbic Acid จะมีความเสถียรและมีประสิทธิภาพสูงสุดในสภาวะที่เป็นกรด (pH ต่ำ) โดยทั่วไปจะอยู่ที่ระหว่าง 2.0 ถึง 4.0 (และค่า pH ประมาณ 3.5 เป็นค่าที่นิยมใช้ในสูตรเครื่องสำอาง)
- Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินซีที่มีความเสถียรสูงและละลายน้ำได้ แต่ต้องการสภาวะที่เป็นด่าง (pH สูง) ในช่วง 7-9 เพื่อความเสถียรสูงสุด
การพยายามรวมวิตามินซีทั้งสองรูปแบบนี้ในสูตรน้ำเดียวกัน โดยให้แต่ละตัวอยู่ในช่วง pH ที่เหมาะสมสำหรับความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุดนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากค่า pH ของเซรั่มไม่สามารถเป็นทั้งกรดและด่างพร้อมกันได้
การผสม AsA และ MAP
การผสม AsA และ MAP ในสูตรเดียวกันมีแนวโน้มที่จะทำให้ความเสถียรและประสิทธิภาพของส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่งหรือทั้งสองลดลง เนื่องจากค่า pH จะไม่เหมาะสมสำหรับทั้งคู่
การเน้นที่ L-Ascorbic Acid
ข้อเสนอของคุณในการเพิ่ม L-Ascorbic Acid เป็น 15% และตัด MAP ออก เป็นแนวทางที่เหมาะสมในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความขาวใสและลดเลือนริ้วรอยให้ได้มากที่สุด L-Ascorbic Acid เป็นวิตามินซีรูปแบบที่มีศักยภาพสูง เป็นที่รู้จักในด้านประสิทธิภาพในการปรับสีผิวให้กระจ่างใส กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และให้การปกป้องจากอนุมูลอิสระ เมื่อพัฒนาสูตรให้อยู่ในค่า pH ที่ถูกต้อง ความเข้มข้น 10-15% เป็นช่วงที่มีประสิทธิภาพสำหรับวัตถุประสงค์เหล่านี้
ข้อควรพิจารณาสำหรับสูตรที่เสนอ
จากส่วนประกอบที่คุณต้องการและเป้าหมายของคุณ การเน้นที่เซรั่มที่มี L-Ascorbic Acid เป็นหลักจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการพยายามรวม AsA และ MAP แนวทางการพัฒนาสูตรที่เป็นไปได้อาจรวมถึง:
- L-Ascorbic Acid: 10-15% (ตั้งเป้าหมายค่า pH สุดท้ายของสูตรให้อยู่ระหว่าง 3.0-3.5 เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงโอกาสในการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นที่ค่า pH ต่ำกว่านี้)
- Acetyl Hexapeptide-8: 2% (เปปไทด์ตัวนี้ทำงานได้ดีในช่วง pH 3.5-6.5 ซึ่งเข้ากันได้กับค่า pH เป้าหมายของ L-Ascorbic Acid)
- Sodium Hyaluronate: 25% (โปรดทราบว่าความเข้มข้น 25% ของผง Sodium Hyaluronate นั้นสูงมาก และมีแนวโน้มที่จะทำให้เจลมีความหนืดมากจนอาจเป็นของแข็งได้ โดยทั่วไปอัตราการใช้ผง Sodium Hyaluronate ในเซรั่มจะต่ำกว่านี้มาก มักจะอยู่ระหว่าง 0.1% ถึง 0.5% เพื่อให้ความชุ่มชื้นและได้เนื้อเจลที่ไม่ข้นจนเกินไป คุณอาจกำลังหมายถึงสารละลาย Hyaluronic Acid สำเร็จรูป หรือเบสเจลที่มี Hyaluronic Acid หากใช้ในรูปแบบผง ควรปรับความเข้มข้นเพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่ต้องการ ซึ่งน่าจะต่ำกว่า 25% มาก)
- Disodium EDTA: 0.2% (การเติมสารคีเลต เช่น Disodium EDTA เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อพัฒนาสูตรที่มี L-Ascorbic Acid ในเบสน้ำ ช่วยจับไอออนโลหะที่อาจปนเปื้อนในน้ำ ซึ่งสามารถเร่งการเสื่อมสภาพของ L-Ascorbic Acid ได้ จึงช่วยเพิ่มความเสถียรของสูตร)
การเติม Vitamin E และ Ferulic Acid
การเติม Vitamin E และ Ferulic Acid ในเซรั่ม L-Ascorbic Acid จะสร้างการผสมผสานสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ซึ่งมักถูกเรียกว่าเซรั่มประเภท "CE Ferulic" การผสมผสานนี้ช่วยเพิ่มการปกป้องจากปัจจัยภายนอกและปรับปรุงความเสถียรของวิตามินซี
- Ferulic Acid: ส่วนประกอบนี้โดยทั่วไปไม่ละลายในน้ำ และต้องใช้ตัวทำละลาย เช่น Ethoxydiglycol หรือ ethanol ในการละลาย
- Vitamin E (Tocopheryl Acetate): รูปแบบที่นิยมใช้โดยทั่วไปจะละลายในน้ำมัน แม้ว่าจะมีรูปแบบที่ละลายน้ำได้ แต่รูปแบบที่ละลายในน้ำมันจะพบได้บ่อยกว่า
การนำ Vitamin E ที่ละลายในน้ำมันและผง Ferulic Acid มาผสมในเซรั่มเนื้อเจลใสที่ไม่มีแอลกอฮอล์และมีเบสเป็นน้ำ โดยยังคงความใสและความเสถียรไว้นั้นอาจเป็นเรื่องท้าทาย และอาจต้องใช้ตัวทำละลายร่วมหรือเทคนิคการพัฒนาสูตรเฉพาะที่อาจส่งผลกระทบต่อข้อกำหนด "ไม่มีแอลกอฮอล์" และ "เจลใส" หากคุณให้ความสำคัญกับประโยชน์ด้านสารต้านอนุมูลอิสระของการผสมผสานนี้ คุณอาจต้องปรับเบสของสูตร หรือพิจารณาใช้วิตามินอีในรูปแบบที่ละลายน้ำได้ (เช่น Tocopheryl Acetate ที่ละลายน้ำได้) หรือมองหาสารต้านอนุมูลอิสระเสริมอื่นๆ ที่เข้ากันได้กับระบบเบสน้ำใสที่ไม่มีแอลกอฮอล์
บรรจุภัณฑ์
L-Ascorbic Acid มีความไวต่อแสงและอากาศ ซึ่งอาจทำให้เกิดการออกซิเดชันและสูญเสียประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องเซรั่ม:
- ใช้บรรจุภัณฑ์สีเข้ม: ขวดแก้วหรือพลาสติกสีชาเหมาะอย่างยิ่งในการลดการสัมผัสกับแสง
- พิจารณาบรรจุภัณฑ์ที่จำกัดการสัมผัสอากาศ: ขวดปั๊มโดยทั่วไปจะดีกว่าขวดแบบดรอปเปอร์ เนื่องจากช่วยลดปริมาณอากาศที่เข้าไปในผลิตภัณฑ์ระหว่างการใช้งาน ซึ่งช่วยรักษาความเสถียรได้ดียิ่งขึ้น
โดยสรุป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ด้านความขาวใสและลดเลือนริ้วรอยที่ดีที่สุดในเซรั่มเนื้อเจลใส แนะนำให้เน้นที่การพัฒนาสูตรเซรั่ม L-Ascorbic Acid ที่มีค่า pH ต่ำ โดยมีส่วนประกอบของ Acetyl Hexapeptide-8, Sodium Hyaluronate (ในความเข้มข้นที่เหมาะสมกับเนื้อสัมผัส) และ Disodium EDTA เพื่อความเสถียร การเติม Vitamin E และ Ferulic Acid ให้ประโยชน์ด้านสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ แต่ต้องพิจารณาถึงความสามารถในการละลายและความเข้ากันได้กับเบสเจลใสที่ไม่มีแอลกอฮอล์ที่คุณต้องการอย่างรอบคอบ การใช้บรรจุภัณฑ์สีเข้มและจำกัดการสัมผัสอากาศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาประสิทธิภาพของเซรั่ม
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

Hyaluronic Acid (Small Molecule)

Pure-Ferulic Acid™

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Fine)

Disodium EDTA

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Standard)

Magnesium Ascorbyl Phosphate
