พิจารณาสูตร: เซรั่มวิตามินซี

ถามโดย: oranicha.dear เมื่อ: June 03, 2019 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

รบกวนดูสูตรให้หน่อยค่ะ ว่าแบบนี้ขาด-เกินอะไรไหมคะ

  • Vitamin C L-ascorbic acid (Grade: Ultra-Fine): 15%
  • Propylene Glycol: 7%
  • Ethoxydiglycol: 20%
  • Glycerin: 3%
  • Mannitol: 3%
  • Laureth-23: 3%
  • Triethanolamine 99%: 1%
  • Vitamin E Tocopheryl Acetate: 1%
  • Ferulic Acid: 0.50%
  • Phenoxyethanol (Extra Low Phenol): 0.50%
  • น้ำกลั่น ปราศจากเชื้อ: ที่เหลือ

คำตอบ

การพิจารณาสูตร

ขอบคุณสำหรับสูตรที่คุณให้มาค่ะ สูตรนี้มีส่วนผสมที่เป็นประโยชน์หลายอย่าง โดยเฉพาะวิตามินซี (L-ascorbic acid), Ferulic Acid และวิตามินอี ซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้ผิวกระจ่างใส

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณาบางประการเกี่ยวกับสูตรนี้:

  • ความเสถียรของวิตามินซีและค่า pH: L-Ascorbic Acid จะมีประสิทธิภาพและเสถียรที่สุดที่ค่า pH ต่ำ โดยทั่วไปอยู่ระหว่าง 2.0 ถึง 4.0 แม้ว่าสูตรของคุณจะมี L-Ascorbic Acid ในความเข้มข้นที่ดี (15%) แต่การมีน้ำและ Triethanolamine (ซึ่งเพิ่มค่า pH) อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเสถียรและประสิทธิภาพของวิตามินซี Triethanolamine ใช้เพื่อเพิ่มค่า pH ซึ่งอาจขัดแย้งกับค่า pH ต่ำที่จำเป็นสำหรับ L-Ascorbic Acid การควบคุมค่า pH สุดท้ายของสูตรให้อยู่ในช่วงที่เป็นกรดที่เหมาะสมสำหรับ L-Ascorbic Acid เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
  • ความเข้มข้นของ Ethoxydiglycol: ความเข้มข้นของ Ethoxydiglycol ในสูตรของคุณคือ 20% ตามแนวทางเครื่องสำอางทั่วไป อัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับ Ethoxydiglycol ในผลิตภัณฑ์แบบ Leave-on นั้นต่ำกว่ามาก (เช่น ไม่เกิน 2.6% ตามคำอธิบายผลิตภัณฑ์ที่ให้มา) การใช้ที่ความเข้มข้น 20% อาจเกินขีดจำกัดด้านความปลอดภัยและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้
  • ประเภทของสูตร: การมี Laureth-23 ซึ่งเป็นอิมัลซิไฟเออร์ บ่งชี้ว่าสูตรนี้ตั้งใจให้เป็นอิมัลชัน (เช่น โลชั่นหรือครีม) มากกว่าเซรั่มธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมีส่วนประกอบที่ละลายได้ทั้งในน้ำและในน้ำมัน (เช่น วิตามินอี)
  • สารกันเสีย: Phenoxyethanol ที่ความเข้มข้น 0.5% เป็นความเข้มข้นของสารกันเสียที่พบได้ทั่วไป แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าในการต่อต้านเชื้อรา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และกระบวนการผลิตขั้นสุดท้าย คุณอาจต้องพิจารณาระบบสารกันเสียแบบ Broad-spectrum เพื่อให้แน่ใจว่าสูตรมีความเสถียรทางจุลชีววิทยา

ข้อแนะนำ:

  1. ปรับ Ethoxydiglycol: ขอแนะนำอย่างยิ่งให้ลดความเข้มข้นของ Ethoxydiglycol ให้อยู่ในขีดจำกัดการใช้งานที่ปลอดภัยและแนะนำสำหรับผลิตภัณฑ์แบบ Leave-on
  2. ทบทวนการปรับค่า pH: ตรวจสอบและปรับค่า pH สุดท้ายของสูตรอย่างรอบคอบให้อยู่ระหว่าง 2.0 ถึง 4.0 เพื่อให้แน่ใจว่า L-Ascorbic Acid มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพ พิจารณาใช้สารปรับค่า pH ที่เป็นกรดหากจำเป็น และประเมินการใช้ Triethanolamine อีกครั้งหากทำให้ค่า pH สูงเกินไป
  3. พิจารณาความเสถียรของวิตามินซี: เมื่อพิจารณาจากปริมาณน้ำในสูตร ควรสำรวจวิธีการเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเสถียรของ L-Ascorbic Acid เช่น การใช้สารคีเลต (chelating agents) หรือเทคโนโลยีการทำให้เสถียรเฉพาะทางหากจำเป็น
  4. ประเมินระบบสารกันเสีย: ประเมินระบบสารกันเสียตามส่วนประกอบของสูตรและบรรจุภัณฑ์ขั้นสุดท้าย เพื่อให้แน่ใจว่ามีการป้องกันที่เพียงพอทั้งแบคทีเรียและเชื้อรา

โดยรวมแล้ว แม้ว่าสูตรจะมีสารออกฤทธิ์ที่มีศักยภาพ แต่การปรับระดับ Ethoxydiglycol และการปรับค่า pH ให้เหมาะสมเพื่อความเสถียรของวิตามินซีเป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงทั้งความปลอดภัยและประสิทธิภาพ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
Vitamin E (Tocopheryl Acetate)
เครื่องสำอาง
Pure-Ferulic Acid™
Pure-Ferulic Acid™
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Ethoxydiglycol (e.q. Transcutol)
Ethoxydiglycol (e.q. Transcutol)
เครื่องสำอาง
Propylene Glycol
Propylene Glycol
เครื่องสำอาง
Triethanolamine 99%
Triethanolamine 99%
เครื่องสำอาง
Laureth-23
Laureth-23
เครื่องสำอาง
Glycerin (USP/Food Grade)
Glycerin (USP/Food Grade)
เครื่องสำอาง
Phenoxyethanol (Extra Pure)
Phenoxyethanol (Extra Pure)
เครื่องสำอาง
Mannitol
Mannitol
เครื่องสำอาง