รีวิวสูตรเซรั่ม: ความเข้ากันได้, ค่า pH และการปรับส่วนผสม

ถามโดย: kanhoho เมื่อ: February 24, 2021 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

เซรั่มสูตรนี้ผสมได้ไหมคะ จำเป็นต้องปรับอะไรไหมคะ

ต้องการให้ pH ประมาณ 4-5 ค่ะ

ต้องการเพื่อต้านอนุมูลอิสระ ลดละคายเคือง ทำให้ผิวกระจ่างใสค่ะ เนื้อเซรั่มสำหรับทุกสภาพผิว

ส่วนผสมในสูตรเซรั่ม:

  1. Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine) 15%
  2. Vitamin E (dl-alpha tocopherol) 1%
  3. Ferulic Acid 1%
  4. Panthenol (Vitamin B5) ExtraLite™ 2%
  5. Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide) 4%
  6. Ectoine (Ectoin, from Bio-fermentation) 1%
  7. Hyaluronic Acid (Standard Molecule) 0.2%
  8. Hyaluronic Acid (Small Molecule) 0.2%
  9. Coenzyme Q10 (10%, Powder, Water-Soluble) 3%
  10. Licorice Extract (Glabridin 4.5%, Water-Soluble) 1% หรือควรเป็น Dipotassium Glycyrrhizate 1% ดีคะ (เน้นลดระคายเคือง)
  11. Palmitamide MEA 1%
  12. Dimethyl Isosorbide (DMI) 3%
  13. Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free) 1%

อยากได้สารข้อ 1-13 อยู่ในเซรั่มค่ะ ส่วนตัวข้างล่างไม่แน่ใจว่าใส่ลงไปด้วยกันได้ไหมคะ ตัวข้างล่างสามารถปรับเป็นตัวไหนดีคะ

  • Bakuchiol (Natural Retinol) 1%
  • ActiveProtec™ UV 1%
  • Glycerin 99.5% 3%
  • Phospholipid 2%
  • Propylene Glycol 5%
  • น้ำกลั่น (Distilled Water)

คำตอบ

ค่ะ เข้าใจสูตรเซรั่มที่คุณต้องการค่ะ สูตรนี้มีส่วนผสมที่ดีหลายตัวที่เน้นเรื่องต้านอนุมูลอิสระ ลดการระคายเคือง และทำให้ผิวกระจ่างใส โดยมีเป้าหมาย pH ประมาณ 4-5 สำหรับทุกสภาพผิว

จากการตรวจสอบส่วนผสมที่คุณแจ้งมา มีข้อควรพิจารณาและความเข้ากันได้ดังนี้ค่ะ

การพิจารณาสูตรเซรั่ม

เป้าหมายของคุณคือเซรั่มที่มี pH 4-5 สำหรับทุกสภาพผิว เน้นเรื่องต้านอนุมูลอิสระ ลดการระคายเคือง และทำให้ผิวกระจ่างใส ส่วนผสมที่คุณเลือกมาเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีคุณสมบัติเหล่านี้

ความเข้ากันได้และการพิจารณาค่า pH

  1. Vitamin C (L-Ascorbic Acid) 15% และค่า pH: L-Ascorbic Acid จะมีประสิทธิภาพและเสถียรที่สุดในสภาพที่เป็นกรดต่ำ โดยเฉพาะช่วง pH 2.0-4.0 (เครื่องสำอางส่วนใหญ่กำหนด pH ขั้นต่ำที่ 3.5) ค่า pH เป้าหมายของคุณที่ 4-5 ถือว่าค่อนไปทางสูงสำหรับความเสถียรสูงสุดของ L-Ascorbic Acid แต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่สามารถทำงานได้ โดยเฉพาะหากมีการบรรจุและจัดเก็บที่เหมาะสม ค่า pH ที่ใกล้ 4.0 จะดีกว่าสำหรับ Vitamin C
  2. Niacinamide (Safe-B3™) 4% และค่า pH: Safe-B3™ เป็น Niacinamide ที่มีความบริสุทธิ์สูง มีความเสถียรในช่วง pH 3-8 (ดีที่สุดที่ 4.0-7.0) ข้อควรระวังในการใช้ L-Ascorbic Acid ร่วมกับ Niacinamide คือความเป็นไปได้ในการเกิดปฏิกิริยาและฟอร์มตัวเป็น Niacin (Nicotinic Acid) ในสภาพที่เป็นกรดต่ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแดงและระคายเคืองได้ แม้ว่า Niacinamide ที่มีความบริสุทธิ์สูงอย่าง Safe-B3™ จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ โดยเฉพาะที่ pH 4-5 แต่ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณา ค่า pH เป้าหมายของคุณที่ 4-5 เป็นการประนีประนอมระหว่างช่วง pH ที่เหมาะสมของ L-Ascorbic Acid และ Niacinamide ค่า pH ที่ใกล้ 5.0 อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด Niacin แต่จะเหมาะกับความเสถียรของ L-Ascorbic Acid น้อยลง
  3. Ferulic Acid 1%: Pure-Ferulic Acid™ ไม่ละลายในน้ำ แต่ Dimethyl Isosorbide (DMI) ที่คุณใส่มาในสูตร เป็นตัวทำละลายและสารนำพาที่ดี ที่สามารถช่วยละลายและนำพา Ferulic Acid เข้าไปในระบบที่เป็นน้ำได้ การผสมผสานนี้เป็นที่นิยมในเซรั่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้น
  4. Vitamin E (dl-alpha tocopherol) 1%: Vitamin E เป็นสารที่ละลายในน้ำมัน ในเซรั่มที่เป็นน้ำ การใส่ Vitamin E 1% จำเป็นต้องมีสารช่วยละลาย (solubilizer) หรืออิมัลซิไฟเออร์ (emulsifier) ที่เหมาะสม เพื่อให้ Vitamin E กระจายตัวได้อย่างสม่ำเสมอและคงตัวในสูตร รายการส่วนผสมของคุณยังไม่มีสารที่ทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ
  5. Coenzyme Q10 (10%, Water-Soluble) 3%: Coenzyme Q10 ชนิดผงแคปซูลที่ละลายน้ำได้ เหมาะสำหรับเซรั่มที่เป็นน้ำ และจะกระจายตัวในน้ำ ทำให้ได้เนื้อที่ขุ่นเล็กน้อย
  6. สารสกัดจากชะเอมเทศ vs Dipotassium Glycyrrhizate: คุณถามว่า Licorice Extract (Glabridin 4.5%, Water-Soluble) หรือ Dipotassium Glycyrrhizate ดีกว่าสำหรับการลดการระคายเคือง Dipotassium Glycyrrhizate เป็นที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลายในด้านคุณสมบัติลดการอักเสบและลดการระคายเคือง โดยมีงานวิจัยสนับสนุนจำนวนมาก ในขณะที่สารสกัด Glabridin ก็มีฤทธิ์ลดการระคายเคืองเช่นกัน แต่เป็นที่รู้จักหลักในด้านการทำให้ผิวกระจ่างใส หากเป้าหมายหลักของคุณคือการลดการระคายเคือง Dipotassium Glycyrrhizate เป็นตัวเลือกที่ตรงจุดกว่า ละลายน้ำได้ดี และทำงานได้ดีในช่วง pH เป้าหมาย 4-7
  7. Palmitamide MEA 1%: Palmitamide MEA เป็นส่วนผสมที่ดีเยี่ยมในการลดการระคายเคืองและเสริมเกราะป้องกันผิว สามารถผสมในสูตรที่เป็นน้ำได้ในช่วง pH 3.5-7.0 ซึ่งอยู่ในช่วง pH เป้าหมายของคุณ
  8. Dimethyl Isosorbide (DMI) 3%: ดังที่กล่าวไป DMI มีประโยชน์ในการช่วยนำพาและเพิ่มการละลายของสารออกฤทธิ์อื่นๆ โดยเฉพาะ Ferulic Acid และอาจช่วยเพิ่มการนำพา Vitamin C และส่วนผสมอื่นๆ เข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น เข้ากันได้ดีกับน้ำและไกลคอลต่างๆ
  9. Mild Preserved Eco™ 1%: สารกันเสียนี้ เหมาะสำหรับสูตรของคุณ ทำงานได้ในช่วง pH 4-9 และเข้ากันได้กับระบบที่เป็นน้ำ

ส่วนผสมเพิ่มเติมที่คุณพิจารณา

  • Bakuchiol (Natural Retinol) 1%: Pure-Bakuchiol™ ละลายในน้ำมัน แม้จะมีประโยชน์คล้ายเรตินอลโดยไม่ระคายเคือง แต่การนำมาผสมในเซรั่มที่เป็นน้ำเป็นส่วนใหญ่ต้องใช้การขึ้นสูตรที่ซับซ้อน ต้องละลายในเฟสน้ำมันหรือใช้สารช่วยละลาย และความเสถียรในสูตรน้ำที่ pH 4-5 โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับ L-Ascorbic Acid ต้องมีการทดสอบอย่างละเอียด มักแนะนำให้ใช้สารคีเลต (chelating agent) ร่วมกับ Bakuchiol ในสูตรน้ำที่มี pH ต่ำกว่า 6.5 เพื่อความเสถียร การเพิ่ม Bakuchiol จะทำให้สูตรของคุณซับซ้อนขึ้นมาก
  • ActiveProtec™ UV 1%: ActiveProtec™ UV เป็นสารที่ละลายน้ำได้ ช่วยปกป้องสูตรจากแสง UV ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความเสถียรของส่วนผสมที่ไวต่อแสง เช่น L-Ascorbic Acid การใส่สารนี้ช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะหากบรรจุในขวดใส
  • Glycerin 3% และ Propylene Glycol 5%: Glycerin และ Propylene Glycol เป็นสารให้ความชุ่มชื้นและตัวทำละลายที่ดีเยี่ยม ละลายได้ดีในน้ำ และเข้ากันได้กับเซรั่มของคุณ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและการละลายส่วนผสมอื่นๆ การใส่สารเหล่านี้มีประโยชน์
  • Phospholipid 2%: Hydrogenated Lecithin มักใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการห่อหุ้มสาร (encapsulation) เพื่อเพิ่มการนำส่งหรือความเสถียรของสารออกฤทธิ์ การใส่ลงไปในเซรั่มโดยตรงโดยไม่มีกระบวนการห่อหุ้ม อาจไม่ได้ให้ประโยชน์ตามที่ตั้งใจ และอาจส่งผลต่อเนื้อสัมผัสหรือความเสถียรของเซรั่ม การใส่ในปริมาณ 2% โดยไม่มีเทคนิคการขึ้นสูตรเฉพาะ ดูเหมือนจะไม่จำเป็นและอาจสร้างปัญหาในสูตรเซรั่มที่ไม่ซับซ้อน

ข้อแนะนำ

  1. การปรับค่า pH: ตั้งเป้าหมายค่า pH ระหว่าง 4.0-4.5 เพื่อรักษาสมดุลความเสถียรของ L-Ascorbic Acid และ Niacinamide คุณจะต้องวัดค่า pH ของสูตรสุดท้ายและปรับด้วยกรด (เช่น Citric Acid หรือความเป็นกรดของ Ferulic Acid อาจมีส่วนช่วย) หรือเบสที่เหมาะสม
  2. การผสม Vitamin E: คุณจะต้องเพิ่มสารช่วยละลายหรืออิมัลซิไฟเออร์ที่เหมาะสม เพื่อช่วยนำพา Vitamin E ที่ละลายในน้ำมัน 1% เข้าไปในเซรั่มที่เป็นน้ำของคุณ
  3. สารสกัดจากชะเอมเทศ: หากเน้นการลดการระคายเคือง ให้ใช้ Dipotassium Glycyrrhizate ที่ 1% หากต้องการผลเรื่องความกระจ่างใสร่วมด้วย Licorice Extract (Glabridin 4.5%, Water-Soluble) ที่ 1% ก็เป็นอีกทางเลือก เนื่องจากมีคุณสมบัติลดการระคายเคืองเช่นกัน
  4. ส่วนผสมเพิ่มเติม:
    • ใส่ Glycerin และ Propylene Glycol เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและการละลาย
    • ใส่ ActiveProtec™ UV ที่ 1% เพื่อช่วยปกป้องความเสถียรของสูตรจากแสง
    • พิจารณาการใส่ Bakuchiol อย่างรอบคอบ แม้จะมีประโยชน์ แต่การละลายในน้ำมันและความต้องการด้านความเสถียรในสูตรน้ำที่มีสารออกฤทธิ์อื่นๆ ที่ pH 4-5 ทำให้การผสมค่อนข้างท้าทาย อาจจะดีกว่าหากทำ Bakuchiol ในผลิตภัณฑ์แยกต่างหาก (เช่น เซรั่มน้ำมัน หรืออิมัลชั่น) เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุด หรือหากจะใส่ ต้องแน่ใจว่าใช้สารคีเลตและทำการทดสอบความเสถียรอย่างเข้มงวด
    • การไม่ใส่ Phospholipid น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เว้นแต่คุณจะวางแผนที่จะทำกระบวนการห่อหุ้มสารโดยเฉพาะ
  5. การทดสอบความเสถียร: เนื่องจากมี L-Ascorbic Acid ในปริมาณสูง และมีการผสมสารออกฤทธิ์หลายชนิด การทดสอบความเสถียรอย่างละเอียด (รวมถึงการตรวจสอบค่า pH ลักษณะภายนอก และประสิทธิภาพเมื่อเวลาผ่านไปและภายใต้สภาวะอุณหภูมิที่แตกต่างกัน) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเซรั่มยังคงมีประสิทธิภาพและปลอดภัยตลอดอายุการเก็บรักษา
  6. วิธีการผสม: ควรใส่ L-Ascorbic Acid ในขั้นตอนสุดท้ายเมื่ออุณหภูมิของสูตรต่ำกว่า 30°C Ferulic Acid ควรละลายใน DMI ก่อนนำไปรวมกับเฟสน้ำ ส่วนผสมที่ละลายน้ำได้สามารถละลายในเฟสน้ำได้เลย

โดยสรุป สูตรพื้นฐานของคุณเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องมีการขึ้นสูตรอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเรื่องการละลายของส่วนผสมและการจัดการค่า pH เพื่อให้ L-Ascorbic Acid และ Niacinamide มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุด การเพิ่ม Glycerin, Propylene Glycol และ ActiveProtec™ UV จะเป็นประโยชน์ การเพิ่ม Bakuchiol และ Phospholipid จะเพิ่มความซับซ้อนในการขึ้นสูตรอย่างมาก.

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)
เครื่องสำอาง
Hyaluronic Acid (Standard Molecule, 1M Daltons)
Hyaluronic Acid (Standard Molecule, 1M Daltons)
เครื่องสำอาง
Hyaluronic Acid (Small Molecule, 8-50K Daltons)
Hyaluronic Acid (Small Molecule, 8-50K Daltons)
เครื่องสำอาง
Pure-Ferulic Acid™
Pure-Ferulic Acid™
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Vitamin E (dl-alpha tocopherol)
Vitamin E (dl-alpha tocopherol)
เครื่องสำอาง
Propylene Glycol
Propylene Glycol
เครื่องสำอาง
Glycerin (USP/Food Grade)
Glycerin (USP/Food Grade)
เครื่องสำอาง
Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free)
Mild Preserved Eco™ (Preservative-Free)
เครื่องสำอาง
Dipotassium Glycyrrhizate (DPG, High Purity)
Dipotassium Glycyrrhizate (DPG, High Purity)
เครื่องสำอาง
Palmitamide MEA
Palmitamide MEA
เครื่องสำอาง
Ectoine (Ectoin, from Bio-fermentation)
Ectoine (Ectoin, from Bio-fermentation)
เครื่องสำอาง
Dimethyl Isosorbide (DMI)
Dimethyl Isosorbide (DMI)
เครื่องสำอาง
D-Panthenol Care (Pro-Vitamin B5, 100% Liquid)
D-Panthenol Care (Pro-Vitamin B5, 100% Liquid)
เครื่องสำอาง
ActiveProtec™ UV
ActiveProtec™ UV
เครื่องสำอาง
Pure-Bakuchiol™ (Natural Retinol, 99% Pure, USA)
Pure-Bakuchiol™ (Natural Retinol, 99% Pure, USA)
เครื่องสำอาง
Licorice Extract (Glabridin 4.5%, Water-Soluble)
Licorice Extract (Glabridin 4.5%, Water-Soluble)
เครื่องสำอาง
Coenzyme Q10 (10%, Encapsulate Powder, Water-Soluble)
Coenzyme Q10 (10%, Encapsulate Powder, Water-Soluble)
เครื่องสำอาง
Hydrogenated Lecithin (95% Phosphatidylcholine)
Hydrogenated Lecithin (95% Phosphatidylcholine)
เครื่องสำอาง