คำแนะนำเกี่ยวกับสูตรโลชั่นบำรุงและผลัดเซลล์ผิว

จากการตรวจสอบสูตรโลชั่นที่คุณเสนอมาสำหรับการบำรุงและผลัดเซลล์ผิว พร้อมคำถามเพิ่มเติม มีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ

ความเข้ากันได้และความสมบูรณ์ของสูตร

• ความเข้ากันได้: ส่วนประกอบที่ละลายน้ำได้ในสูตรของคุณ (Urea, Sodium PCA, Sodium Lactate, Natural PHA) โดยทั่วไปเข้ากันได้ดีในเฟสน้ำ Skin Barrier Cream Base เป็นเบสแบบไร้อิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier Free) ซึ่งอาจมีข้อจำกัดในการผสมกับส่วนประกอบที่เป็นน้ำมัน แต่สามารถผสมกับส่วนประกอบที่เป็นน้ำได้ คำอธิบายของเบสระบุว่าสามารถเจือจางด้วยน้ำได้ และแนะนำให้เติม Xanthan Gum เพื่อปรับเนื้อสัมผัสและความคงตัวเมื่อเจือจาง
• ความสมบูรณ์: สูตรของคุณยังขาด สารกันเสีย (Preservative) ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำ เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และยืดอายุผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ คุณจำเป็นต้อง ปรับค่า pH ของสูตรให้เหมาะสม ซึ่งสำคัญต่อประสิทธิภาพของ Natural PHA และความคงตัวของ Urea

การปรับปรุงสูตรที่แนะนำ

• เพิ่มสารกันเสีย: ควรเพิ่มสารกันเสียชนิด Broad-spectrum ที่เหมาะสมสำหรับสูตรที่เป็นน้ำ ปฏิบัติตามอัตราส่วนที่ผู้จำหน่ายแนะนำ
• ปรับค่า pH: หลังจากผสมส่วนประกอบทั้งหมดแล้ว ให้วัดค่า pH ของสูตร เพื่อให้ Natural PHA (Gluconolactone) ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยให้ Urea คงตัว ค่า pH ที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 3.5-4.5 ใช้สารปรับ pH ที่เหมาะสม (เช่น Citric Acid หรือสารละลาย Sodium Hydroxide) ค่อยๆ เติมทีละน้อยพร้อมวัดค่า pH จนกว่าจะได้ค่าที่ต้องการ
• ความเข้มข้นของ Urea: Urea ที่ความเข้มข้น 20% เป็นความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูง มักใช้เพื่อการผลัดเซลล์ผิวอย่างเข้มข้น หรือสำหรับผิวที่แห้งมากและหนา หากต้องการทำเป็นโลชั่นทาตัวทั่วไปเพื่อการบำรุงและผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน อาจพิจารณาลดความเข้มข้นของ Urea ลงเหลือ 5-10% ซึ่งจะช่วยให้เนื้อสัมผัสดีขึ้น ไม่เหนอะหนะมากเกินไป และยังคงให้ความชุ่มชื้นและช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ดี
• Triacetin: คุณใส่ Triacetin 2% จากการค้นหาไม่พบผลิตภัณฑ์ Triacetin ในฐานข้อมูลของเรา แม้ว่า Triacetin จะช่วยให้ Urea คงตัวและลดกลิ่นได้ หากต้องการใช้ ควรตรวจสอบว่าเป็นเกรดเครื่องสำอางและทดสอบความเข้ากันได้กับเบส คำอธิบายผลิตภัณฑ์ Urea แนะนำให้ใช้ Gluconolactone (Natural PHA) ประมาณ 15% ของปริมาณ Urea เพื่อช่วยควบคุมค่า pH ซึ่งคุณได้ใส่ Natural PHA อยู่แล้ว

การเพิ่มสารกันแดด (SPF)

การเพิ่มสารกันแดดเพื่อให้ได้ค่า SPF ที่มีประสิทธิภาพลงในสูตรนี้โดยตรงเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจาก Skin Barrier Cream Base เป็นแบบไร้อิมัลซิไฟเออร์ สารกันแดดส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะสารกันแดดแบบเคมี) ต้องการระบบอิมัลชันที่เฉพาะเจาะจงเพื่อให้กระจายตัวได้ดีและมีความคงตัว การพยายามเติมลงในเบสแบบ Emulsifier Free อาจทำให้สูตรไม่คงตัว เนื้อสัมผัสไม่ดี และประสิทธิภาพในการกันแดดไม่เพียงพอ

คำแนะนำ: โดยทั่วไปแล้ว การใช้สูตรนี้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงและผลัดเซลล์ผิว (อาจใช้ตอนกลางคืน) และใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มี SPF แยกต่างหากในตอนเช้า จะเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าค่ะ

การปรับเนื้อโลชั่นให้นุ่ม ชุ่มชื้น บางเบา ซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ

สูตรปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มี Urea 20% และสารให้ความชุ่มชื้นอื่นๆ อาจทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะได้ เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่นุ่ม บางเบา ซึมง่าย และไม่ทิ้งคราบเหนียว:

• ลดปริมาณ Urea: ดังที่กล่าวไป การลดความเข้มข้นของ Urea ลงเหลือ 5-10% จะช่วยลดความเหนอะหนะได้อย่างมาก
• เพิ่มสารให้ความนุ่มลื่น (Emollients): พิจารณาเพิ่มสารกลุ่ม Silicone (เช่น Dimethicone, Cyclopentasiloxane) หรือ Ester Oils ชนิดเบา (เช่น Isopropyl Myristate, Caprylic/Capric Triglyceride) ในปริมาณเล็กน้อย (เช่น 1-5%) เพื่อช่วยให้เนื้อโลชั่นเกลี่ยง่ายขึ้น ซึมเร็วขึ้น และให้ความรู้สึกนุ่มลื่นหลังทา อย่างไรก็ตาม ต้องทดสอบความเข้ากันได้กับเบส Emulsifier Free
• เพิ่มสารปรับเนื้อ (Texture Modifiers): อาจพิจารณาเพิ่มสารกลุ่ม Polymer หรือ Powder บางชนิดที่ช่วยลดความเหนอะหนะและให้ความรู้สึกแห้งสบายหลังทา (เช่น สารสกัดจากแป้งบางชนิด, Silica)
• พิจารณาที่เบส: คำอธิบายของ Skin Barrier Cream Base ระบุว่าสามารถผสมกับน้ำหรือเบสอื่นๆ เพื่อปรับเนื้อสัมผัสได้ หากต้องการเนื้อที่บางเบา การทำให้เบสกระจายตัวได้ดีในเฟสน้ำ (อาจใช้สารเพิ่มความข้นอย่าง Xanthan Gum ช่วย ตามตัวอย่างสูตรโลชั่นในคำอธิบายเบส) ก็เป็นสิ่งสำคัญ

การใส่น้ำหอมสำหรับโลชั่นทาผิวกาย

สามารถใส่น้ำหอมสำหรับใช้ในเครื่องสำอางลงในโลชั่นทาผิวกายได้ โดยทั่วไปใช้อัตราส่วนประมาณ 0.1-0.5% (ไม่ควรเกิน 1% สำหรับผิวกาย) แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำและอัตราส่วนสูงสุดที่ผู้จำหน่ายน้ำหอมกำหนด

ข้อควรพิจารณา:

• การระคายเคือง: น้ำหอมบางชนิดอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับสารผลัดเซลล์ผิวอย่าง PHA และ Urea ที่ความเข้มข้นสูง หากคุณมีผิวแพ้ง่าย ควรพิจารณาใช้สูตรที่ไม่มีน้ำหอม หรือใช้น้ำหอมชนิด Hypoallergenic ในความเข้มข้นต่ำมาก
• ความเข้ากันได้: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำหอมเข้ากันได้กับเบสและส่วนประกอบอื่นๆ ในสูตร ไม่ทำให้สูตรขุ่นหรือแยกชั้น

คำแนะนำกลิ่น: สำหรับโลชั่นทาผิวกาย กลิ่นที่นิยมได้แก่:

• กลิ่นแนวสะอาด (Fresh/Clean): ให้ความรู้สึกสดชื่น เบาสบาย
• กลิ่นแนวฟลอรัล (Floral): กลิ่นดอกไม้ที่ไม่ฉุนเกินไป เช่น กุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หรูหรา
• กลิ่นแนวซิตรัส/ฟรุตตี้ (Citrus/Fruity): ให้ความรู้สึกสดใส มีชีวิตชีวา
• กลิ่นแนววู้ดดี้/มัสกี้ (Woody/Musky) อ่อนๆ: ให้ความรู้สึกอบอุ่น นุ่มลึก

ควรทดลองทำในปริมาณน้อยๆ ก่อน เพื่อตรวจสอบความเข้ากันได้ ความคงตัว และความเข้มข้นของกลิ่นที่ต้องการ ก่อนทำในปริมาณมากค่ะ

โดยสรุป สูตรของคุณเป็นพื้นฐานที่ดี แต่ยังต้องเพิ่มสารกันเสียและปรับค่า pH การปรับความเข้มข้นของ Urea และอาจเพิ่มสารให้ความนุ่มลื่นหรือสารปรับเนื้อสัมผัสจะช่วยให้ได้เนื้อโลชั่นตามที่ต้องการ การเพิ่มสารกันแดดแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์แยกต่างหาก หรือใช้เบสที่ออกแบบมาสำหรับสูตรกันแดดโดยเฉพาะ สามารถเพิ่มน้ำหอมได้โดยคำนึงถึงโอกาสในการระคายเคืองค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง: Skin Barrier Cream Base (Emulsifier Free), Urea (High Purity, Cosmetics, Powder), Sodium PCA 50%, Sodium Lactate (60% Liquid, Natural), Natural PHA (Gluconolactone).