การเพิ่มสารออกฤทธิ์หลายชนิดในเซรั่มไฮยา และความเข้ากันได้กับวิตามินซี 20%
คำถาม
ถ้าผมจะผสมส่วนผสมในไฮยา 100ml ตามสูตรที่แนะนำ
- ผมสามารถเพิ่มพวก Vitamin B3 4%, Sea Kelp Bioferment 10%, DMAE 4%, N-Acetyl-D-Glucosamin ลงไปในสูตรได้ไหม? และถ้าได้ ควรกี่เปอร์เซ็นต์ดี?
- ผมสามารถเพิ่มสารสกัดเช่น เปลือกสน, มะขามป้อม, ชะเอมเทศ ลงไปในสูตรได้ไหม? และถ้าได้ ควรกี่เปอร์เซ็นต์ดี?
- ถ้าผมทำเซรั่มวิตามินซี 20% ตามที่บอกแล้ว ผมจะทาสูตรข้างบนต่อเลยได้ไหม หรือต้องรอเวลา? ผมเห็นเขาบอกว่า Vitamin B3 ไม่ทนกรด มันทาต่อกันได้ไหม?
คำตอบ
การเพิ่มส่วนผสมลงในเซรั่มไฮยาลูรอนิก (100 มล.)
ใช่ คุณสามารถเพิ่มส่วนผสมที่คุณกล่าวถึงลงในเบสไฮยาลูรอนิกได้ ส่วนผสมเหล่านี้โดยทั่วไปสามารถละลายน้ำได้และเข้ากันได้กับสูตรเซรั่ม
นี่คืออัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับส่วนผสมที่คุณระบุ โดยอิงจากข้อมูลผลิตภัณฑ์:
- วิตามินบี 3 (Niacinamide): อัตรา 4% ที่คุณเสนออยู่ในช่วงที่แนะนำคือ 1-10% ผลิตภัณฑ์เช่น Safe-B3™ หรือ Extreme-B3™ เหมาะสมสำหรับการใช้งาน
- Sea Kelp Bioferment (สารสกัดจากสาหร่ายทะเล): อัตรา 10% ที่คุณเสนออยู่ในช่วงสูงสุดของอัตราที่แนะนำ 1-10% แม้ว่าจะสามารถใช้ได้ แต่อัตรา 10% อาจทำให้เกิดกลิ่นคาวจากทะเลได้ อัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและผมโดยทั่วไปคือ 1-3% เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ยังคงให้ประโยชน์แก่ผิว
- DMAE: อัตรา 4% ที่คุณเสนออยู่ในช่วงทั่วไป 1-10% แต่สูงกว่าอัตราที่แนะนำโดยทั่วไปที่ 3% การใช้อัตราที่สูงกว่า 5% อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหรือความรู้สึกเหนอะหนะ สำหรับผิวแพ้ง่ายหรือผู้เริ่มต้น ควรเริ่มใช้อัตรา 3% และค่อยๆ เพิ่มขึ้นหากผิวทนได้ดี
- N-Acetyl-D-Glucosamine (GlucoBright™): อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 1-8% สารนี้ทำงานร่วมกับ Niacinamide ได้ดีในการช่วยให้ผิวกระจ่างใสและให้ความชุ่มชื้น การใช้อัตรา 2-4% ร่วมกับ Niacinamide 4% เป็นวิธีที่นิยมและมีประสิทธิภาพ
- สารสกัดจากเปลือกสน (French Pine Bark Extract): อัตราการใช้ที่แนะนำคือ 0.1-5% โดยทั่วไปแนะนำที่ 1-2% การใช้อัตราที่สูงขึ้นอาจส่งผลต่อสีของเซรั่มอย่างมาก
- สารสกัดจากชะเอมเทศ: สำหรับสารสกัดจากชะเอมเทศที่ละลายน้ำได้ เช่น Licorice Extract (Glabridin 4.5%) อัตราการใช้ที่แนะนำโดยทั่วไปคือ 1-2%
- มะขามป้อม: เราไม่มีข้อมูลผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับสารสกัดมะขามป้อมในฐานข้อมูลของเรา คุณจะต้องหาสารสกัดที่เหมาะสมและปฏิบัติตามอัตราการใช้ที่ผู้ผลิตแนะนำ
เมื่อเพิ่มส่วนผสมเหล่านี้ลงในเบส 100 มล. ของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเปอร์เซ็นต์รวมของส่วนผสมที่เพิ่มเข้าไปไม่เกินความสามารถของเบส และสูตรสุดท้ายมีค่า pH ที่เสถียร ซึ่งควรอยู่ในช่วงที่เหมาะสมสำหรับ Niacinamide (pH 4.0-7.0) และ N-Acetyl-D-Glucosamine (pH 3-7)
การทาหลังจากเซรั่มวิตามินซี 20%
เกี่ยวกับการทาเซรั่มนี้หลังจากเซรั่มวิตามินซี 20% โดยทั่วไปแนะนำให้ระมัดระวังเนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่าง Niacinamide กับวิตามินซี (Ascorbic Acid) ที่มีค่า pH ต่ำได้
เซรั่มวิตามินซี โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเข้มข้นสูงเช่น 20% มักจะถูกปรับค่า pH ให้ต่ำ (ประมาณ 2.5-3.5) เพื่อความเสถียร ในขณะที่ Niacinamide มีความเสถียรที่สุดที่ค่า pH ระหว่าง 4.0 ถึง 7.0 เมื่อ Niacinamide สัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่มีค่า pH ต่ำ อาจเปลี่ยนรูปเป็น Niacin (Nicotinic Acid) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการหน้าแดง รู้สึกคันยิบๆ ได้ การเปลี่ยนรูปนี้มักเป็นชั่วคราวและขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและความไวของแต่ละบุคคล แต่ก็เป็นปฏิกิริยาที่ทราบกันดี
เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นนี้ คุณมีทางเลือกสองสามทาง:
- ทาคนละเวลา: ใช้วิตามินซีเซรั่มในตอนเช้า และใช้เซรั่มที่คุณผสมเอง (ที่มี Niacinamide ฯลฯ) ในตอนเย็น
- รอระหว่างการทา: หากคุณต้องการใช้ทั้งสองอย่างในขั้นตอนเดียวกัน ให้ทาเซรั่มวิตามินซีก่อน รอประมาณ 15-30 นาที (หรือจนกว่าค่า pH ของผิวจะกลับมาใกล้เคียงปกติ) แล้วจึงทาเซรั่มที่คุณผสมเอง วิธีนี้จะช่วยให้ค่า pH ของผิวปรับสมดุลก่อนที่จะทาผลิตภัณฑ์ที่มี Niacinamide
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ Niacinamide ที่มีความบริสุทธิ์สูงบางชนิดจะออกแบบมาเพื่อลดอาการหน้าแดงจากสิ่งเจือปน แต่การเปลี่ยนรูปที่เกิดจากค่า pH ต่ำเป็นปัญหาที่แยกต่างหาก ดังนั้น การแยกเวลาทาหรือรอระหว่างขั้นตอนจึงเป็นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุด
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Safe-B3™ (Vitamin B3, Niacinamide)

Sea Kelp Extract

GlucoBright™ (Acetyl Glucosamine)

DMAE (SkinTight MD™) Liquid
