การพัฒนาสูตรเจลเซรั่มที่มี L-Ascorbic Acid และ Wild Yam Extract: ความเสถียรและการกันเสีย
คำถาม
มีสูตรผลิตภัณฑ์เจลเซรั่มที่ต้องการสอบถามว่าสามารถทำได้หรือไม่ โดยมีส่วนผสมดังนี้:
Complex gel
(ประกอบด้วย Propylene Glycol, Dimethylsilanol Hyaluronate, Hydrolyzed Wheat Protein, BHT)Wild Yam Root Extract
(ละลายใน Butylene Glycol และ Water)- ผง
L-ascorbic acid
(แยกไว้) Aloe Gel (Lite)
(ใช้เป็นเบส)
วิธีการผสมที่เสนอคือ ใช้ Wild Yam Root
3% ผสมกับ Butylene Glycol
10% แล้วค่อยนำส่วนผสมนี้ใส่ใน Aloe Gel (Lite)
ที่เป็นเบส จากนั้นจึงผสมกับผง L-ascorbic acid
ในขั้นตอนสุดท้าย
จากข้อมูลนี้ สูตรดังกล่าวสามารถทำได้หรือไม่? และถ้าใช้ภายใน 30-60 วันโดยเก็บในตู้เย็น สามารถไม่ใส่สารกันเสียได้ไหมคะ?
คำตอบ
คำแนะนำสำหรับการทำเจลเซรั่มของคุณ
ขอบคุณที่แบ่งปันสูตรและวิธีการผสมที่คุณเสนอมาค่ะ เรามาดูส่วนประกอบและตอบคำถามของคุณกันนะคะ
สูตรของคุณประกอบด้วยส่วนผสมที่มีประโยชน์หลายอย่าง:
- Complex gel: ประกอบด้วย Propylene Glycol, Dimethylsilanol Hyaluronate, Hydrolyzed Wheat Protein และ BHT
- Wild Yam Root Extract: ละลายใน Butylene Glycol และ Water
- L-ascorbic acid: ในรูปแบบผงที่แยกไว้
- Aloe Vera Gel (Lite): ใช้เป็นเบส
วิธีการผสมที่คุณเสนอคือการนำสารละลาย Wild Yam extract ผสมกับ Butylene Glycol จากนั้นนำส่วนผสมนี้ไปใส่ในเบส Aloe Gel แล้วจึงผสมผง L-ascorbic acid ในขั้นตอนสุดท้าย
ความเสถียรของ L-Ascorbic Acid
L-ascorbic acid (วิตามินซี) ในรูปผงบริสุทธิ์จะไม่เสถียรอย่างยิ่งเมื่อละลายในน้ำ โดยเฉพาะในสูตรที่มีค่า pH สูงกว่า 3.5 มันจะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันอย่างรวดเร็ว ทำให้ประสิทธิภาพลดลงและอาจเปลี่ยนสีได้ เนื่องจากเบสของคุณ (Aloe Vera Gel Lite) และสารละลาย Wild Yam extract มีส่วนประกอบของน้ำ การเติมผง L-ascorbic acid ลงในส่วนผสมนี้ แม้จะเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้วิตามินซีเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว
เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์วิตามินซีที่เสถียร โดยทั่วไปแนะนำให้:
- ปรับสูตรให้มีค่า pH ที่ต่ำมาก (ประมาณ 2.5-3.5) หากใช้ L-ascorbic acid ซึ่งอาจทำให้ระคายเคืองผิวได้
- ใช้รูปแบบอนุพันธ์ของวิตามินซีที่เสถียร เช่น Ascorbyl Glucoside หรือ Sodium Ascorbyl Phosphate ซึ่งมีความเสถียรมากกว่าในสูตรที่เป็นเบสน้ำและที่ค่า pH ที่สูงกว่า
- ทำสูตรในเบสที่ไม่มีน้ำ (เช่น ซิลิโคนหรือน้ำมัน) แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้เนื้อสัมผัสแตกต่างจากเจลอย่างมาก
ด้วยวิธีการที่คุณเสนอซึ่งใช้เจลที่เป็นเบสน้ำ L-ascorbic acid จึงมีแนวโน้มที่จะไม่คงประสิทธิภาพได้นาน
ความจำเป็นในการใช้สารกันเสีย
คุณถามว่าจำเป็นต้องใช้สารกันเสียหรือไม่หากเก็บผลิตภัณฑ์ไว้ในตู้เย็นและใช้ภายใน 30-60 วัน แม้ว่าการแช่เย็นจะช่วยชะลอการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด สูตรที่เป็นเบสน้ำเช่นนี้มีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์ในอากาศหรือจากการสัมผัสระหว่างการใช้งาน สำหรับอายุการใช้งาน 30-60 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปิดและใช้ซ้ำหลายครั้ง ขอแนะนำอย่างยิ่งให้ใส่สารกันเสียแบบ Broad-spectrum เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและความสมบูรณ์ของผลิตภัณฑ์ และป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียหรือเชื้อรา
สรุป
วิธีการทำที่คุณเสนอมาสามารถทำได้ในแง่ของการผสมส่วนผสมเข้าด้วยกัน แต่ความเสถียรของ L-ascorbic acid จะเป็นปัญหาหลักเนื่องจากมีส่วนประกอบของน้ำในเบสและส่วนผสมอื่นๆ คุณมีแนวโน้มที่จะเห็นผลิตภัณฑ์เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลค่อนข้างเร็ว ซึ่งบ่งชี้ถึงการเกิดออกซิเดชันของวิตามินซี
นอกจากนี้ แม้จะเก็บในตู้เย็น ก็ยังจำเป็นต้องใช้สารกันเสียสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ตั้งใจจะใช้ภายใน 30-60 วัน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์
หากเป้าหมายหลักของคุณคือการส่งมอบวิตามินซีที่เสถียร คุณอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนสูตรไปใช้อนุพันธ์วิตามินซีที่เสถียร หรือใช้ระบบเบสที่แตกต่างออกไป และควรใส่สารกันเสียที่เหมาะสมเสมอ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Propylene Glycol

Butylene Glycol

Aloe Vera Gel (Lite)

Wild Yam Extract (Diosgenin 95%)
