ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันเกรปฟรุต

จากความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหยเกรปฟรุตและบริบทจากการสนทนา:

• วิธีการสกัด: น้ำมันหอมระเหยเกรปฟรุตโดยทั่วไปสกัดโดยการบีบเย็นจากเปลือกเกรปฟรุต
• ประเทศผู้ผลิต: แหล่งผลิตอาจแตกต่างกันไป แต่ประเทศที่ผลิตทั่วไปได้แก่ สหรัฐอเมริกา บราซิล อิสราเอล และอาร์เจนตินา แหล่งที่มาที่เฉพาะเจาะจงขึ้นอยู่กับผู้จำหน่าย
• ความเป็นกรด: น้ำมันหอมระเหยโดยทั่วไปไม่ได้ถูกอธิบายว่ามีความเป็นกรดในลักษณะเดียวกับสารละลายที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ พวกมันเป็นน้ำมัน แม้ว่าส่วนประกอบบางอย่างอาจมีหมู่ฟังก์ชันที่เป็นกรด แต่น้ำมันเองไม่มีค่า pH ที่วัดได้เหมือนสารละลายในน้ำ
• คำเตือนสำหรับสตรีมีครรภ์และเด็ก (3 ปีขึ้นไป): น้ำมันหอมระเหยจากพืชตระกูลส้ม โดยเฉพาะที่สกัดด้วยการบีบเย็น อาจทำให้เกิดอาการแพ้แสง (photosensitivity) ซึ่งหมายความว่าผิวอาจไวต่อการถูกแดดเผาได้ง่ายขึ้นหากทาก่อนออกแดด โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้น้ำมันหอมระเหยในความเข้มข้นที่ต่ำลงสำหรับสตรีมีครรภ์และเด็กเล็ก ควรทำการทดสอบการแพ้เฉพาะจุดเสมอ และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสำหรับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ดังที่กล่าวไว้ในการตอบกลับของเจ้าหน้าที่ น้ำมันหอมระเหยยังสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองผิวและอาการแพ้ในบางบุคคลได้
• ชื่อ INCI: ชื่อ INCI ทั่วไปสำหรับน้ำมันเปลือกเกรปฟรุต (สกัด/บีบเย็น) คือ Citrus Paradisi (Grapefruit) Peel Oil ชื่อ Citrus Paradisi Oil ก็เป็นที่นิยมใช้และยอมรับเช่นกัน
• การใช้ที่ความเข้มข้น 1-3%: การใช้น้ำมันเกรปฟรุตที่ความเข้มข้น 1-3% ในผลิตภัณฑ์แบบทาทิ้งไว้บนผิว เช่น โลชั่น ถือเป็นความเข้มข้นที่ค่อนข้างสูงสำหรับน้ำมันหอมระเหย แม้ว่าจะให้กลิ่นหอมที่น่าพอใจในระดับนี้ แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิว อาการแพ้ และความเป็นไปได้ที่จะเกิดอาการแพ้แสง (หากเป็นน้ำมันที่สกัดด้วยการบีบเย็นและผิวสัมผัสกับแสงแดด) ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ มักจะดีที่สุดที่จะใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้กลิ่นหอมเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อผิวที่เฉพาะเจาะจงยังไม่มีการบันทึกหรือรับรองอย่างชัดเจน หากใช้ที่ความเข้มข้นนี้ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสำหรับผิวแพ้ง่าย หรือเมื่อทำสูตรสำหรับเด็กหรือสตรีมีครรภ์ และพิจารณาถึงความเสี่ยงของการแพ้แสงด้วย

สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ แม้ว่าน้ำมันหอมระเหยบางชนิดจะมีคุณสมบัติหลากหลาย แต่ประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงต่อผิวก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนหรือมีมาตรฐานเดียวกันในทุกแหล่งที่มา ดังที่ได้เน้นย้ำในการตอบกลับของเจ้าหน้าที่