การทำสูตรออยล์บำรุงผิวหน้า: การกันเสียและเนื้อสัมผัส
คำถาม
สอบถามต้องการทำออยล์บำรุงผิวหน้า
ส่วนผสม:
- น้ำมันธรรมชาติ (รวม Grape Seed Oil และ Rose Hip Oil) รวมกัน 98%
- Vitamin E (tocopheryl) 1%
- Vitamin C (L-ascorbic acid ultra-fine) 1%
- ต้องใส่สารกันเสียไหมคะ
- สูตรจะเหนียวเหนอะหน่ะไหมคะ ควรใส่หรือลดอะไรเพิ่มคะ
คำตอบ
คำแนะนำสำหรับการทำออยล์บำรุงผิวหน้า
สำหรับสูตรออยล์บำรุงผิวหน้าของคุณที่มีส่วนผสมของน้ำมันธรรมชาติ 98% (รวมถึง Grape Seed Oil และ Rose Hip Oil), Vitamin E 1%, และ Vitamin C (L-ascorbic acid) 1% มีคำแนะนำดังนี้ค่ะ:
1. จำเป็นต้องใส่สารกันเสียไหมคะ?
เนื่องจากสูตรของคุณเกือบทั้งหมดเป็นเบสน้ำมัน (น้ำมัน 98%) จึงถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำ (anhydrous) โดยทั่วไปแล้ว สารกันเสียแบบดั้งเดิมที่ใช้ป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราจะไม่จำเป็นในสูตรที่ไม่มีน้ำ เพราะจุลินทรีย์ต้องการน้ำในการเจริญเติบโตค่ะ
อย่างไรก็ตาม การเกิดออกซิเดชันเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันเป็นเบสและส่วนผสมอย่าง Vitamin C การเกิดออกซิเดชันอาจทำให้น้ำมันหืนและส่วนผสมออกฤทธิ์เสื่อมสภาพลง ทำให้ประสิทธิภาพและอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์ลดลง Vitamin E ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและสามารถช่วยปกป้องน้ำมันธรรมชาติในสูตรของคุณจากการเกิดออกซิเดชันได้ค่ะ
2. สูตรจะเหนียวเหนอะหน่ะไหมคะ ควรใส่หรือลดอะไรเพิ่มคะ?
สูตรที่มีส่วนผสมของน้ำมัน 98% จะให้ความรู้สึกเป็นน้ำมันบนผิวตามธรรมชาติ น้ำมันธรรมชาติที่คุณเลือกใช้ (Grape Seed Oil และ Rose Hip Oil) ค่อนข้างบางเบา แต่ความเข้มข้นที่สูงก็มีส่วนทำให้รู้สึกถึงความเป็นน้ำมันโดยรวมค่ะ
ในส่วนของความเหนียวเหนอะหน่ะ Vitamin E โดยเฉพาะชนิด Tocopheryl Acetate อาจทำให้รู้สึกเหนียวได้หากใช้ในความเข้มข้นสูง คำอธิบายผลิตภัณฑ์สำหรับ Vitamin E (Tocopheryl Acetate) ระบุว่าการใช้ในอัตราส่วนที่สูงกว่า 0.5% อาจทำให้รู้สึกเหนียวบนผิวได้ การใช้ Vitamin E 1% ในสูตรของคุณอาจมีส่วนทำให้เกิดความเหนียวเหนอะหน่ะค่ะ
การปรับเปลี่ยนที่อาจพิจารณา:
- Vitamin E: ลองพิจารณาลดความเข้มข้นของ Vitamin E ลงเหลือ 0.5% หรือน้อยกว่านั้น ซึ่งสามารถช่วยลดความเหนียวเหนอะหน่ะได้ ในขณะที่ยังคงให้ประโยชน์ในการต้านอนุมูลอิสระเพื่อปกป้องน้ำมันค่ะ
- Vitamin C (L-ascorbic acid): การใช้ผง L-ascorbic acid ในเบสน้ำมันบริสุทธิ์มีความท้าทายด้านความเสถียร L-ascorbic acid ละลายน้ำได้และไวต่อการเกิดออกซิเดชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีสภาพแวดล้อมที่มีค่า pH ต่ำ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในสูตรน้ำมัน) หรือเทคนิคการทำให้เสถียรแบบเฉพาะ แม้ว่าเกรด Ultra-Fine จะออกแบบมาเพื่อการกระจายตัวที่ดีขึ้นในระบบที่ไม่มีน้ำ เช่น ซิลิโคนเซรั่ม แต่ประสิทธิภาพและความเสถียรในเบสน้ำมันบริสุทธิ์ที่ความเข้มข้น 1% อาจมีจำกัด และอาจเกิดการออกซิเดชันและทำให้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีเมื่อเวลาผ่านไปค่ะ Vitamin C ในรูปแบบที่เสถียรและละลายในน้ำมันได้ดีกว่า เช่น Ascorbyl Tetraisopalmitate โดยทั่วไปจะเหมาะสมและเสถียรมากกว่าสำหรับเซรั่มที่มีเบสเป็นน้ำมันค่ะ
สรุปคือ แม้จะไม่จำเป็นต้องใช้สารกันเสียแบบดั้งเดิม แต่การมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเสถียร หากต้องการลดความเหนียวเหนอะหน่ะ คุณอาจลองลดความเข้มข้นของ Vitamin E การใช้ L-ascorbic acid ในเบสน้ำมันนี้อาจมีปัญหาด้านความเสถียร และอนุพันธ์ของ Vitamin C ที่ละลายในน้ำมันได้อาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากกว่าค่ะ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Vitamin E (Tocopheryl Acetate)

NaturalProfile™ Grape Seed Oil (Cold-Pressed)

Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)

Vitamin E (dl-alpha tocopherol)

Rose Hip Oil (Virgin, Fresh)

Grape Seed Oil (Cold-Pressed, Green)
