คำแนะนำในการทำเซรั่ม

คุณได้เลือกส่วนผสมที่ดีซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอย ให้ความชุ่มชื้น และช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว จากข้อมูลที่มีอยู่ นี่คือคำตอบสำหรับคำถามของคุณเกี่ยวกับการทำเซรั่ม:

1. ส่วนผสมเหล่านี้สามารถผสมโดยใช้บีกเกอร์โดยไม่ต้องใช้เครื่องปั่นครีมได้หรือไม่?

ได้ สำหรับสูตรเซรั่มซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นสูตรที่มีน้ำเป็นหลัก คุณสามารถผสมส่วนผสมเหล่านี้โดยใช้บีกเกอร์และคนได้ ส่วนผสมส่วนใหญ่ที่คุณระบุไว้สามารถละลายน้ำได้และถูกเติมลงในเฟสน้ำหรือในขั้นตอนสุดท้าย เครื่องปั่นครีมมักจำเป็นสำหรับการสร้างอิมัลชัน (การผสมเฟสน้ำมันและเฟสน้ำ) หรือสำหรับเนื้อครีม/โลชั่นที่ข้นกว่า

2. ถ้าผสมได้ ลำดับการผสมควรเป็นอย่างไร?

สมมติว่าคุณกำลังทำเซรั่มที่มีน้ำเป็นหลักอย่างง่าย นี่คือลำดับการผสมที่แนะนำ คุณจะต้องมีเบสที่เป็นของเหลว ซึ่งโดยทั่วไปคือน้ำกลั่น เพื่อเติมเต็มเปอร์เซ็นต์ที่เหลือในสูตรของคุณ (100% ลบด้วยเปอร์เซ็นต์รวมของสารออกฤทธิ์และสารกันเสีย)

1. เตรียมเฟสน้ำ: ตวงน้ำกลั่น (หรือเบสของเหลวที่คุณเลือก) ในปริมาณที่ต้องการ
2. เติมส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ (อุณหภูมิห้อง): เติมส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ง่ายและไม่ต้องการควบคุมอุณหภูมิเป็นพิเศษก่อน คนเบาๆ จนละลายหมด ซึ่งได้แก่:
   • Natural Moisturizing Amino Acids (1%)
   • TreMoisture™ (Trehalose) (1%)
   • Prebio-care (Skin Prebiotic) (3%)
   • L-Carnosine (1%) - หมายเหตุ: คำอธิบายของ L-Carnosine แนะนำให้เติม Butylene Glycol, Ethoxydiglycol หรือ Laurocapram 3% ลงในสูตรเพื่อช่วยในการดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น คุณอาจพิจารณาเพิ่มตัวใดตัวหนึ่งเหล่านี้ลงในเฟสน้ำของคุณหากคุณใส่ L-Carnosine
3. เติมสารออกฤทธิ์ที่เป็นของเหลว (อุณหภูมิห้อง): เติมส่วนผสมที่เป็นของเหลวที่ละลายน้ำได้
   • Galactomyces Ferment Filtrate (15%)
   • Repair Activator™ Powder (Bifida Ferment Lysate) (1%) - เขย่าขวดก่อนเติม
   • DMAE (SkinTight MD™) Liquid (3%)
4. เติม Matrixyl 3000: เติม Pal-GHK, Pal-GQPR (eq. Matrixyl 3000) (3%) คำอธิบายระบุให้ผสมในขั้นตอนสุดท้ายที่อุณหภูมิต่ำกว่า 40°C แต่เนื่องจากเป็นกระบวนการเย็น (ไม่มีการให้ความร้อน) คุณสามารถเติมหลังจากสารออกฤทธิ์อื่นๆ ที่ละลายน้ำได้
5. เติมสารกันเสีย: เติม Ethylhexylglycerin (และสารกันเสียร่วมที่คุณเลือก) Ethylhexylglycerin สามารถเติมได้ที่อุณหภูมิห้อง
6. คนครั้งสุดท้าย: คนเบาๆ แต่ทั่วถึงเพื่อให้แน่ใจว่าส่วนผสมทั้งหมดกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการเขย่าแรงๆ โดยเฉพาะสำหรับส่วนผสมอย่าง Natural Moisturizing Amino Acids ซึ่งอาจทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อนได้

• หมายเหตุ: นี่เป็นขั้นตอนสำหรับระบบที่มีน้ำเป็นหลักอย่างง่าย หากคุณวางแผนที่จะเพิ่มส่วนผสมที่ละลายในน้ำมันหรือสารเพิ่มความข้น ขั้นตอนจะแตกต่างออกไป*

3. ควรใส่สารกันเสียกี่เปอร์เซ็นต์?

คุณระบุ Ethylhexylglycerin ไว้ อัตราการใช้ที่แนะนำสำหรับ Ethylhexylglycerin คือ 0.3-1.0% สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่า Ethylhexylglycerin โดยทั่วไป ไม่เหมาะที่จะใช้เป็นสารกันเสียเพียงอย่างเดียว และควรใช้ร่วมกับสารกันเสียอื่นๆ เพื่อให้ครอบคลุมเชื้อโรคได้กว้างขึ้น คุณควรเลือกสารกันเสียร่วมที่เข้ากันได้กับสูตรของคุณ และใช้ Ethylhexylglycerin ในช่วงที่แนะนำ โดยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-1.0% เมื่อใช้ร่วมกับสารกันเสียอื่น

4. สารสกัดตัวไหนสามารถใช้ทดแทนกันได้บ้าง ควรมีตัวไหนเอาออกหรือเพิ่มตัวไหนไหม?

การเลือกส่วนผสมของคุณครอบคลุมคุณสมบัติต่างๆ ได้แก่:

• ต่อต้านริ้วรอย/ยกกระชับ: Galactomyces Ferment Filtrate, Repair Activator (Bifida Ferment Lysate), Matrixyl 3000, L-Carnosine, DMAE
• ให้ความชุ่มชื้น: Galactomyces Ferment Filtrate, Natural Moisturizing Amino Acids, TreMoisture (Trehalose), Ethylhexylglycerin (เป็นสารให้ความชุ่มชื้น)
• เสริมเกราะป้องกันผิว: Repair Activator (Bifida Ferment Lysate), Prebio-care (Skin Prebiotic), L-Carnosine, TreMoisture (Trehalose), Natural Moisturizing Amino Acids

การผสมผสานนี้ครอบคลุมเป้าหมายที่คุณต้องการได้เป็นอย่างดี

• การทดแทน: แม้ว่าส่วนผสมอื่นๆ อาจให้ประโยชน์ที่คล้ายคลึงกัน (เช่น เปปไทด์อื่นๆ สำหรับต่อต้านริ้วรอย, สารให้ความชุ่มชื้นอื่นๆ) แต่ส่วนผสมเฉพาะที่คุณเลือกมีคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ การทดแทนแบบหนึ่งต่อหนึ่งโดยยังคงคุณสมบัติเดิมไว้ทุกประการจะเป็นเรื่องที่ท้าทายหากไม่มีการปรับสูตรครั้งใหญ่
• การเอาออก/เพิ่ม:
  • เปอร์เซ็นต์ที่คุณเลือกโดยทั่วไปอยู่ในช่วงที่แนะนำ ยกเว้น Repair Activator ที่ 1% (แนะนำ 5-100%) คุณอาจพิจารณาเพิ่ม Repair Activator เพื่อประสิทธิภาพที่มากขึ้น แต่ 1% ก็ยังให้ประโยชน์อยู่บ้าง Galactomyces ที่ 15% อยู่ในช่วงที่แนะนำ แต่การใช้ในปริมาณสูง อาจ รู้สึกเหนอะหนะได้
  • ดังที่กล่าวไว้ในขั้นตอนการผสม การเพิ่ม Butylene Glycol, Ethoxydiglycol หรือ Laurocapram 3% แนะนำให้ใช้ร่วมกับ L-Carnosine เพื่อช่วยให้ผิวดูดซึมได้ดีขึ้น
  • พิจารณาเพิ่ม สารเพิ่มความข้นหรือสารก่อเจล หากคุณต้องการเนื้อเซรั่มที่ข้นขึ้น ส่วนผสมอย่าง Carbomer, Xanthan Gum หรือ Hydroxyethylcellulose เป็นที่นิยมใช้สำหรับเซรั่มที่มีน้ำเป็นหลัก
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้ ระบบสารกันเสียที่ครอบคลุมเชื้อโรคได้กว้าง ไม่ใช่แค่ Ethylhexylglycerin เพียงอย่างเดียว

โดยรวมแล้ว ส่วนผสมที่คุณเลือกสามารถทำเซรั่มที่มีประสิทธิภาพได้ ข้อควรพิจารณาหลักคือการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมของ L-Carnosine การทำให้แน่ใจว่ามีการกันเสียที่เพียงพอ และการปรับเนื้อสัมผัสหากจำเป็น

5. ผิวสัมผัสจะเหนียวไหมคะ ถ้าเหนียวควรใช้ตัวไหนใส่ลงไปคะ

ด้วยส่วนผสมที่ผสมผสานกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเข้มข้นที่คุณเลือก เซรั่มอาจรู้สึกเหนียวหรือหนึบได้บ้าง ซึ่งอาจเกิดจาก:

• สารให้ความชุ่มชื้น: ส่วนผสมอย่าง Galactomyces Ferment Filtrate, Natural Moisturizing Amino Acids, TreMoisture และ Ethylhexylglycerin เป็นสารให้ความชุ่มชื้นที่ดึงดูดและกักเก็บน้ำ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้รู้สึกเหนียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเข้มข้นสูง
• ปริมาณสารออกฤทธิ์สูง: ปริมาณรวมของสารออกฤทธิ์ที่สูงสามารถทำให้รู้สึกหนึบได้
• DMAE: คำอธิบายของ DMAE ระบุว่าการใช้เกิน 5% อาจทำให้รู้สึก "เหนอะหนะมาก" แม้ว่าคุณจะใช้ 3% แต่การผสมผสานกับส่วนผสมอื่นๆ ก็ยังสามารถทำให้รู้สึกเหนียวได้

เพื่อลดความเหนียว:

• เพิ่มสารปรับปรุงเนื้อสัมผัส: ส่วนผสมอย่าง Propanediol, Butylene Glycol (ซึ่งคุณอาจเพิ่มเพื่อ L-Carnosine อยู่แล้ว) หรือซิลิโคนบางชนิด (หากเข้ากันได้กับสูตรของคุณ) สามารถช่วยปรับปรุงความลื่นและลดความหนึบได้
• ปรับเปอร์เซ็นต์: หากความเหนียวเป็นปัญหาหลัก คุณอาจพิจารณาลดเปอร์เซ็นต์ของสารให้ความชุ่มชื้นหรือสารออกฤทธิ์บางชนิดลงเล็กน้อย แม้ว่าสิ่งนี้อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพได้
• เพิ่มอิมอลเลียนต์เนื้อบางเบา: การเพิ่มน้ำมันหรือเอสเทอร์ที่ละลายน้ำได้เล็กน้อยและบางเบามาก สามารถช่วยปรับปรุงความรู้สึกบนผิวโดยไม่ทำให้รู้สึกมันเยิ้ม

6. ควรบรรจุในขวดที่มีแสงทึบหรือเปล่าคะ หรือขวดบรรจุชวดใสทั่วไปได้คะ

เนื่องจากส่วนผสมหลักหลายชนิดของคุณ (Galactomyces Ferment Filtrate, Repair Activator, Matrixyl 3000, L-Carnosine, DMAE) มีคำแนะนำในการจัดเก็บที่รวมถึงการเก็บไว้ในที่เย็นหรือตู้เย็น และป้องกันจากแสงแดด/ความร้อน จึงแนะนำอย่างยิ่งให้บรรจุเซรั่มที่ทำเสร็จแล้วใน ขวดทึบแสง ซึ่งจะช่วยปกป้องส่วนผสมที่ไวต่อแสงและรักษาความเสถียรและประสิทธิภาพของเซรั่มของคุณเมื่อเวลาผ่านไป การเก็บผลิตภัณฑ์ที่ทำเสร็จแล้วไว้ในที่เย็นหรือตู้เย็นก็แนะนำเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเก็บรักษาในระยะยาว