การทำเซรั่มผสมสารออกฤทธิ์หลายชนิด: ความเข้ากันได้และความเสถียร

ถามโดย: sutattawengsak เมื่อ: February 11, 2017 ประเภทผลิตภัณฑ์: เครื่องสำอาง

คำถาม

ต้องการนำวัตถุดิบต่อไปนี้มาผสมรวมกันเพื่อทำเซรั่มสำหรับลดริ้วรอย ผิวขาวใส และเพิ่มความชุ่มชื้น:

  • Repair Activator (Bifida Ferment Lysate)
  • Wrinkle Fill (Acetyl-Tyrosine)
  • Acetyl Hexapeptide-8
  • Vitamin C (L-ascorbic acid Ultra Fine)
  • Hyaluronic Acid (Standard Molecule)
  • Hyaluronic Acid (Nano Molecule)

มีคำถามเกี่ยวกับการทำสูตรดังนี้ครับ/ค่ะ:

  1. วัตถุดิบเหล่านี้เข้ากันได้หรือไม่เมื่อนำมาผสมรวมกัน และจำเป็นต้องใช้ทั้งหมดร่วมกันไหมครับ/คะ?
  2. วิธีการผสม ขั้นตอน และอัตราส่วนการใช้ที่แนะนำสำหรับแต่ละวัตถุดิบคือเท่าไหร่ครับ/คะ?
  3. ผลิตภัณฑ์ที่ผสมเสร็จแล้วควรเก็บรักษาอย่างไรครับ/คะ?
  4. วัตถุดิบที่ยังไม่ได้ผสมควรเก็บรักษาอย่างไรครับ/คะ?
  5. จำเป็นต้องมีอุปกรณ์อะไรในการตวงวัดให้แม่นยำ โดยเฉพาะสำหรับปริมาณน้อยๆ ครับ/คะ?
  6. วัตถุดิบตัวไหนในรายการนี้ที่สามารถนำไปใช้เดี่ยวๆ ได้เลยโดยไม่ต้องผสมครับ/คะ?
  7. มีวัตถุดิบ Vitamin C ตัวอื่นที่เหมาะสมกว่าสำหรับการทำเซรั่มแบบนี้ไหมครับ/คะ?
  8. จะทราบปริมาณรวมของผลิตภัณฑ์หลังจากผสมเสร็จได้อย่างไรครับ/คะ?

คำตอบ

คำแนะนำการผสมสำหรับวัตถุดิบ 6 ชนิดของคุณ

ขอบคุณสำหรับคำถามเกี่ยวกับการผสม Repair Activator (Bifida Ferment Lysate), Wrinkle Fill (Acetyl-Tyrosine), Acetyl Hexapeptide-8, Vitamin C (L-ascorbic acid Ultra Fine), Hyaluronic Acid (Standard Molecule) และ Hyaluronic Acid (Nano Molecule) สำหรับสูตรลดริ้วรอย ผิวขาวใส และเพิ่มความชุ่มชื้นที่คุณต้องการ

นี่คือคำตอบสำหรับคำถามของคุณพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง:

1. ความเข้ากันได้และความจำเป็น

การรวมส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดที่เน้นปัญหาเดียวกัน (เช่น ริ้วรอยและความชุ่มชื้น) เป็นเรื่องปกติในการทำสูตรเครื่องสำอาง อย่างไรก็ตาม ความเข้ากันได้ของส่วนผสมเหล่านี้ โดยเฉพาะ L-ascorbic acid จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในสูตรที่มีน้ำเป็นเบส

  • L-ascorbic acid (Ultra Fine): ตามที่เจ้าหน้าที่ได้ตอบไปก่อนหน้านี้และในรายละเอียดสินค้า L-ascorbic acid ไม่เสถียรอย่างยิ่งเมื่อละลายในน้ำโดยตรง มันจะเกิดการออกซิเดชันอย่างรวดเร็วและสูญเสียประสิทธิภาพ เหมาะที่สุดสำหรับสูตรที่ไม่มีน้ำ (Anhydrous) หรือต้องการ pH ที่ต่ำมาก (3.5-4.0 สำหรับทาผิว) เพื่อความเสถียรขั้นต่ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอาจส่งผลต่อความเสถียรหรือประสิทธิภาพของส่วนผสมอื่นๆ
  • Hyaluronic Acids (Standard และ Nano): การรวมไฮยาลูรอนิกแอซิดที่มีขนาดโมเลกุลต่างกันมีประโยชน์ในการให้ความชุ่มชื้นในระดับต่างๆ ของผิว การผสมนี้เข้ากันได้ในสูตรที่มีน้ำเป็นเบส โดยต้องใช้สารเพิ่มความข้นที่เหมาะสม เนื่องจากขนาดนาโนอาจส่งผลต่อความหนืด
  • Peptides (Acetyl Hexapeptide-8) และ Amino Acid (Wrinkle Fill - Acetyl-Tyrosine): ส่วนผสมเหล่านี้โดยทั่วไปเข้ากันได้ในสูตรที่มีน้ำเป็นเบสภายในช่วง pH ที่แนะนำ (Acetyl Hexapeptide-8: 3.5-6.5; Wrinkle Fill: เป็นกรด, pH 2-3 ที่ความเข้มข้น 2.5%) Repair Activator (Bifida Ferment Lysate) ก็ละลายน้ำได้และมีช่วง pH 4-5.5

ความเข้ากันได้โดยรวม: ความท้าทายหลักคือการนำ L-ascorbic acid มารวมในสูตรที่มีน้ำเป็นเบสร่วมกับส่วนผสมอื่นๆ เนื่องจากความไม่เสถียรและข้อกำหนด pH ต่ำ ซึ่งขัดแย้งกับช่วง pH ที่เหมาะสมสำหรับส่วนผสมบางชนิด (เช่น Repair Activator ต้องการ pH 4-5.5) การใช้ L-ascorbic acid ในการผสมนี้อาจทำให้ผลิตภัณฑ์เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปถือว่ามากเกินไปหรือไม่เข้ากันในเซรั่มที่มีน้ำเป็นเบสมาตรฐานร่วมกับส่วนผสมอื่นๆ เหล่านี้

2. วิธีการผสม ขั้นตอน และอัตราส่วน

เนื่องจากปัญหาความเข้ากันได้ของ L-ascorbic acid ในน้ำ การทำสูตรที่เสถียรซึ่งรวมส่วนผสมทั้งหกชนิดตามรายการจึงเป็นเรื่องยากในเซรั่มที่มีน้ำเป็นเบสทั่วไป หากคุณต้องการทำสูตรที่มีน้ำเป็นเบส คุณอาจต้องตัด L-ascorbic acid ออกไป หรือเปลี่ยนไปใช้รูปแบบที่เสถียรกว่า

สมมติว่าเป็นสูตรที่มีน้ำเป็นเบส โดยไม่มี L-ascorbic acid (หรือใช้ Vitamin C รูปแบบที่เสถียร) นี่คือขั้นตอนทั่วไปและอัตราส่วนการใช้ที่แนะนำ:

  • เบส: เริ่มต้นด้วยส่วนของน้ำ (เช่น น้ำกลั่น หรือเบสเซรั่มที่เหมาะสม)
  • ละลายผง: เติมและละลายส่วนผสมที่เป็นผงให้เข้ากันดี: Hyaluronic Acid (Standard Molecule), Hyaluronic Acid (Nano Molecule) และ Wrinkle Fill สำหรับผง Hyaluronic Acid อาจต้องใช้เวลาและอาจต้องแช่เย็นหรือปั่นตามคำแนะนำผลิตภัณฑ์
  • เติมของเหลว: เมื่อผงละลายหมดแล้วและอุณหภูมิของส่วนผสมต่ำกว่า 40°C ให้เติมส่วนผสมที่เป็นของเหลว: Repair Activator และ Acetyl Hexapeptide-8 เขย่า Repair Activator ให้เข้ากันดีก่อนใช้
  • ปรับ pH: ตรวจสอบและปรับ pH ของส่วนผสมสุดท้ายให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมสำหรับส่วนผสมทั้งหมด (เช่น 4.0-5.5) โดยใช้ตัวปรับ pH หากจำเป็น
  • เติมสารกันเสีย: ควรเติมสารกันเสียชนิด Broad-spectrum ในสูตรที่มีน้ำเป็นเบสเสมอ

อัตราส่วนการใช้ที่แนะนำ:

  • Repair Activator (Bifida Ferment Lysate): 5-100%
  • Wrinkle Fill (Acetyl-Tyrosine): 1-2%
  • Acetyl Hexapeptide-8: 3-10%
  • Vitamin C (L-ascorbic acid Ultra Fine): 3-15% (หมายเหตุ: อัตรานี้ใช้เมื่ออยู่ในสูตรที่เหมาะสม ซึ่งมักจะเป็นสูตรที่ไม่มีน้ำ)
  • Hyaluronic Acid (Standard Molecule): 0.05-0.5%
  • Hyaluronic Acid (Nano Molecule): 0.1-0.5%

เปอร์เซ็นต์ที่แน่นอนภายในช่วงที่แนะนำจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่คุณต้องการและปริมาณรวมของสูตรของคุณ

3. การเก็บรักษาสินค้าที่ผสมแล้ว

เพื่อความเสถียรและอายุการเก็บรักษาที่ดีที่สุด ผลิตภัณฑ์ที่ผสมแล้วควรเก็บใน ภาชนะที่ปิดสนิทและทึบแสง ใน ตู้เย็น (4-8°C) เพื่อป้องกันส่วนผสมออกฤทธิ์จากแสง ความร้อน และอากาศ ซึ่งอาจทำให้เสื่อมสภาพได้

4. การเก็บรักษาสินค้าที่ยังไม่ผสม

ส่วนผสมทั้งหมดที่ระบุไว้โดยทั่วไปต้องเก็บใน ตู้เย็น เพื่อการเก็บรักษาในระยะยาว ควรเก็บไว้ใน ภาชนะเดิมที่ปิดสนิท ให้ห่างจาก แสงแดดและความร้อน เพื่อรักษาคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษา ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่อย่างน้อย 2 ปีเมื่อเก็บรักษาอย่างถูกต้อง

5. อุปกรณ์ในการตวงวัด

ในการตวงวัดส่วนผสมตามเปอร์เซ็นต์ (ซึ่งโดยทั่วไปจะวัดตามน้ำหนักในการทำสูตรเครื่องสำอาง) คุณจะต้องใช้ เครื่องชั่งดิจิทัลที่มีความแม่นยำสูง สำหรับการทำในปริมาณน้อยหรือส่วนผสมที่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำ แนะนำให้ใช้เครื่องชั่งที่สามารถวัดได้ถึง 0.01 กรัม หรือ 0.001 กรัม คุณสามารถหาซื้อเครื่องชั่งดิจิทัลที่เหมาะสมได้จากร้านค้าออนไลน์ที่จำหน่ายอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการหรืออุปกรณ์ทำสูตรเครื่องสำอางโดยเฉพาะ

6. วัตถุดิบที่สามารถใช้เดี่ยวๆ ได้เลย

จากอัตราส่วนการใช้ที่แนะนำ มีเพียง Repair Activator (Bifida Ferment Lysate) เท่านั้นที่ระบุอัตราการใช้ได้ถึง 100% ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้ทาบนผิวได้โดยตรงโดยไม่ต้องเจือจาง ส่วนผสมอื่นๆ มีอัตราส่วนการใช้ที่แนะนำต่ำกว่า 100% และควรนำไปผสมในเบสสูตร

7. คำแนะนำวัตถุดิบที่ควรเปลี่ยน

หากคุณต้องการสูตรที่มีน้ำเป็นเบสและมี Vitamin C ที่เสถียรเพื่อผิวขาวใส แนะนำให้เปลี่ยน L-ascorbic acid เป็นรูปแบบที่เสถียรยิ่งขึ้น ทางเลือกที่เหมาะสมได้แก่:

  • Ethyl Ascorbic Acid: เสถียรสูง ละลายน้ำได้ มีประสิทธิภาพที่ดี
  • Ascorbyl Glucoside: เสถียร ละลายน้ำได้ เปลี่ยนเป็น L-ascorbic acid ในผิว
  • Sodium Ascorbyl Phosphate (SAP) หรือ Magnesium Ascorbyl Phosphate (MAP): เสถียร ละลายน้ำได้ ดีสำหรับการปรับผิวให้กระจ่างใส

หากคุณยังคงต้องการใช้ L-ascorbic acid คุณจะต้องทำสูตรในเบสที่ไม่มีน้ำ (เช่น ซิลิโคนหรือน้ำมัน) ซึ่งจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปและอาจไม่เข้ากันกับส่วนผสมที่ละลายน้ำได้ทั้งหมดที่คุณระบุไว้

8. ปริมาณรวมหลังจากผสม

ปริมาณรวมของผลิตภัณฑ์ที่ผสมแล้วจะขึ้นอยู่กับปริมาณรวมของเบส (เช่น น้ำ หรือเบสเซรั่ม) ที่คุณใช้และเปอร์เซ็นต์ของส่วนผสมแต่ละชนิดที่คุณเติมเข้าไป ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เบส 90 กรัม และเติมส่วนผสมออกฤทธิ์ 10 กรัม น้ำหนักรวมจะเป็น 100 กรัม (ซึ่งประมาณ 100 มล. สำหรับสูตรที่มีน้ำเป็นเบส แต่อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความหนาแน่น) คุณต้องตัดสินใจปริมาณหรือน้ำหนักสุดท้ายที่คุณต้องการก่อน จากนั้นจึงคำนวณปริมาณของส่วนผสมแต่ละชนิดตามเปอร์เซ็นต์ที่คุณเลือก

หวังว่าข้อมูลโดยละเอียดนี้จะเป็นประโยชน์ในการทำสูตรของคุณนะคะ!

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)
Acetyl Hexapeptide-8 (eq Argireline)
เครื่องสำอาง
Hyaluronic Acid (Standard Molecule)
Hyaluronic Acid (Standard Molecule)
เครื่องสำอาง
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
Vitamin C (L-ascorbic acid) (Ultra-Fine)
เครื่องสำอาง
Wrinkle-Fill™ (Acetyl-Tyrosine)
Wrinkle-Fill™ (Acetyl-Tyrosine)
เครื่องสำอาง
Hyaluronic Acid (Nano Molecule, 800daltons)
Hyaluronic Acid (Nano Molecule, 800daltons)
เครื่องสำอาง
Hyaluronic Acid (Nano Molecule, 2000daltons)
Hyaluronic Acid (Nano Molecule, 2000daltons)
เครื่องสำอาง