ข้อเสนอแนะสำหรับการทำครีมกันแดด

เกี่ยวกับสูตรครีมกันแดดที่คุณเสนอและคำถามของคุณ มีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ

1. การประเมินสูตรและการปรับเปลี่ยน

สูตรของคุณมีการผสมผสานที่ดีระหว่างสารกันแดดแบบ Physical (Zinc Oxide, Titanium Dioxide) และสารกันแดดแบบ Chemical (SPF Protect™) เพื่อให้การปกป้องครอบคลุมทั้งรังสี UVA และ UVB อย่างไรก็ตาม ปริมาณซิลิโคน (Cyclomethicone และ Dimethicone) ที่ค่อนข้างสูงในสูตรของคุณ จำเป็นต้องใช้อิมัลซิไฟเออร์ (สารประสานเนื้อครีม) ชนิดพิเศษเพื่อให้ได้เนื้อผลิตภัณฑ์ที่คงตัวและไม่ทำให้รู้สึกเหนอะหนะ

• อิมัลซิไฟเออร์: ตามที่เจ้าหน้าที่ได้แนะนำไว้ Light Cream Maker™ ไม่เหมาะสำหรับสูตรที่มีซิลิโคนในปริมาณสูงเช่นนี้ คุณควรใช้ Warp Cream Maker™ หรือ Warp Cream Maker™ XL แทน โดยทั่วไปจะใช้ในปริมาณ 4-5% ตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ อิมัลซิไฟเออร์เหล่านี้ออกแบบมาสำหรับระบบอิมัลชันแบบ Water-in-Silicone หรือ Water-in-Oil/Silicone ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำครีมกันแดดที่ให้ความรู้สึกบางเบา ไม่เหนอะหนะ และให้สัมผัสแห้งสบายผิว
• ความเข้มข้นของสารกันแดด: ปริมาณสารกันแดดทั้งหมดในสูตรค่อนข้างสูง แม้ว่าจะช่วยให้ได้ค่า SPF ที่สูง แต่การใช้ Physical Sunscreen เช่น Zinc Oxide และ Titanium Dioxide ในปริมาณที่สูงมาก อาจทำให้เนื้อหนักขึ้นหรือเกิดคราบขาวได้ แม้ว่าการใช้ขนาดนาโนจะช่วยลดปัญหานี้ได้ก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังได้กล่าวถึงว่าค่า SPF ที่สูงมากอาจเกินความจำเป็นและมีข้อจำกัดในการพัฒนาสูตร

2. การคำนวณค่า SPF

วิธีการนำค่า SPF ของสารกันแดดแต่ละชนิดมาบวกกันโดยตรง (เช่น 2.510 + 210 + 1.75*10) เป็นเพียงการประมาณค่าทางทฤษฎีอย่างคร่าวๆ เท่านั้น ค่า SPF ที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์กันแดดสำเร็จรูปมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงชนิดและขนาดอนุภาคของสารกันแดดแต่ละตัว การกระจายตัวในเนื้อสูตร ปฏิกิริยาระหว่างส่วนผสม และความหนาของการทาบนผิว ดังนั้น ค่า SPF ที่ถูกต้องจะต้องวัดโดยการทดสอบในห้องปฏิบัติการตามมาตรฐาน (in-vitro หรือ in-vivo testing) เท่านั้น

3. การเพิ่มส่วนผสมเพิ่มเติม

คุณสามารถเพิ่มส่วนผสมอย่าง สารสกัดว่านหางจระเข้ (Aloe Vera Extract), Witch Hazel และ Vitamin E ได้ แต่ต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อความคงตัวและเนื้อสัมผัสของสูตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องการผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหนอะหนะ

• สารสกัดว่านหางจระเข้ และ Witch Hazel เป็นส่วนผสมที่ละลายในน้ำ การเพิ่มส่วนผสมที่ละลายในน้ำลงในระบบอิมัลชันแบบ Water-in-Silicone/Oil (ซึ่งเป็นระบบที่คุณจะใช้ Warp Cream Maker™ สร้างขึ้น) ต้องทำอย่างระมัดระวังในขั้นตอนการผสมเพื่อให้สูตรคงตัวและไม่แยกชั้น นอกจากนี้ อาจทำให้เนื้อสัมผัสเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยได้
• Vitamin E มีทั้งชนิดที่ละลายในน้ำมัน (Vitamin E (Tocopheryl Acetate), Vitamin E (dl-alpha tocopherol)) และชนิดที่ละลายในน้ำ (Vitamin E (Tocopheryl Acetate) Water-Soluble) การเพิ่ม Vitamin E ชนิดละลายในน้ำมันจะเพิ่มส่วนของน้ำมัน/ซิลิโคนในสูตร แม้ว่า Vitamin E มักใช้ในปริมาณน้อย (0.1-1%) และให้ประโยชน์ด้านสารต้านอนุมูลอิสระ แต่การเพิ่มส่วนผสมอื่นๆ มากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนผสมที่เพิ่มความลื่นหรือความชุ่มชื้น อาจทำให้ความรู้สึกไม่เหนอะหนะที่คุณต้องการลดลงได้ ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่

หากคุณต้องการเพิ่มส่วนผสมเหล่านี้ ควรเริ่มต้นด้วยปริมาณน้อยๆ และทดลองทำในปริมาณน้อยๆ ก่อน เพื่อสังเกตผลต่อเนื้อสัมผัสและความคงตัวของครีมค่ะ