การพัฒนาสูตรครีมไวท์เทนนิ่งสำหรับโครงงานวิจัย (ใบบัวบก & วิตามินซี)
คำถาม
ต้องการพัฒนาสูตรครีมไวท์เทนนิ่งสำหรับโครงงานวิจัยระยะเวลา 1 ปี โดยต้องการใช้ส่วนผสมหลักคือน้ำมันใบบัวบกและ L-Ascorbic Acid ขอคำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาสูตร การเลือกใช้วัตถุดิบ และประเด็นเรื่องความเสถียรของสูตรค่ะ
คำตอบ
แนวทางการทำครีมไวท์เทนนิ่งสำหรับโครงงาน
สำหรับโครงงานวิจัยเรื่องไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ โดยใช้น้ำมันใบบัวบกและ L-Ascorbic Acid นั้น เป็นหัวข้อที่น่าสนใจมากครับ การทำครีมจำเป็นต้องมีส่วนประกอบหลักๆ เพื่อให้ได้เนื้อครีมที่คงตัวและมีประสิทธิภาพตามต้องการ
จากการค้นหาข้อมูล ส่วนผสมที่เกี่ยวข้องที่คุณสอบถามมา มีดังนี้ครับ
ส่วนผสมหลักที่ควรพิจารณา
สารสกัดจากใบบัวบก (Centella Asiatica Extract)
- แม้ว่าการค้นหาจะไม่พบ "น้ำมันใบบัวบก" โดยตรง แต่พบ สารสกัดจากใบบัวบก ที่มีความเข้มข้นสูงและมีประโยชน์ต่อผิว เช่น Centella Asiatica Extract (Madecassoside 90%) และ ActiveRelease™ Centella Asiatica
- สารสกัดเหล่านี้มีคุณสมบัติเด่นในการช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผิวโดยรวมและสามารถเสริมฤทธิ์กับสารไวท์เทนนิ่งได้
- สารสกัดใบบัวบกที่พบส่วนใหญ่ละลายน้ำได้หรือกระจายตัวในน้ำได้ดี ซึ่งจะนำไปผสมในส่วนของน้ำ (Water Phase) ของเนื้อครีม
วิตามินซี (Vitamin C)
- คุณสอบถามถึง L-Ascorbic Acid ซึ่งเป็นวิตามินซีรูปแบบบริสุทธิ์ที่มีประสิทธิภาพสูง แต่มีข้อจำกัดเรื่องความไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในรูปสารละลายน้ำและสัมผัสกับอากาศ/แสง
- เพื่อความเสถียรและประสิทธิภาพในระยะยาวของโครงงาน 1 ปี แนะนำให้พิจารณาใช้วิตามินซีอนุพันธ์ที่มีความเสถียรสูงกว่า เช่น Ethyl Ascorbic Acid หรือ Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)
- Ethyl Ascorbic Acid ละลายน้ำได้ดี มีความเสถียรสูง และมีประสิทธิภาพในการลดจุดด่างดำและปรับสีผิวให้สว่างขึ้น ควรใช้ในสูตรที่มี pH อยู่ในช่วง 3.5-6.0
- Ascorbyl Glucoside (AA-2G) เป็นวิตามินซีเสถียรที่ละลายน้ำได้เช่นกัน มีประสิทธิภาพทั้งด้านไวท์เทนนิ่งและต้านอนุมูลอิสระ แต่การผสมอาจซับซ้อนกว่าเล็กน้อย โดยต้องควบคุม pH ให้อยู่ในช่วง 6.5-6.8 เพื่อความเสถียรสูงสุด
สารสร้างเนื้อครีม (Emulsifier)
- ครีมคืออิมัลชันระหว่างส่วนของน้ำและส่วนของน้ำมัน จำเป็นต้องใช้สารสร้างเนื้อครีมเพื่อทำให้น้ำและน้ำมันเข้ากันได้ดีและคงตัว
- ตัวอย่างสารสร้างเนื้อครีมที่สามารถใช้ได้ เช่น Easy Cream Maker™ หรือ Emulsifying Wax 1000
- Easy Cream Maker™ เป็นตัวเลือกที่ใช้งานง่าย สามารถผสมแบบ Cold Process (ไม่ต้องใช้ความร้อน) และใช้ได้ในช่วง pH กว้าง แต่มีข้อจำกัดเรื่องการเข้ากันได้กับสารกลุ่มอิเล็กโทรไลต์
- Emulsifying Wax 1000 เป็นอิมัลซิไฟเออร์แบบ Non-ionic ที่นิยมใช้ในการทำครีมและโลชั่น มักผสมในส่วนของน้ำมันและต้องใช้ความร้อนในการทำ
สารไวท์เทนนิ่งอื่นๆ (Optional Whitening Agents)
- นอกจากวิตามินซีอนุพันธ์แล้ว ยังมีสารไวท์เทนนิ่งอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มเข้าไปในสูตรเพื่อเสริมประสิทธิภาพได้ เช่น CosmoWhite™ หรือ Hexylresorcinol AF ซึ่งมีกลไกช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว
ส่วนประกอบพื้นฐานอื่นๆ
- ส่วนของน้ำ (Water Phase): น้ำบริสุทธิ์, สารให้ความชุ่มชื้น (Humectants) เช่น Glycerin
- ส่วนของน้ำมัน (Oil Phase): น้ำมันพื้นฐาน (Base Oil) ที่เข้ากับผิวได้ดี เช่น Sweet Almond Oil, Grape Seed Oil (ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้เนื้อครีมตามต้องการ)
- สารกันเสีย (Preservative): จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ไม่ปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์และคงตัวตลอดระยะเวลาโครงงาน 1 ปี
- สารปรับค่า pH (pH Adjuster): สำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อใช้วิตามินซีอนุพันธ์ที่ต้องการ pH เฉพาะเพื่อความเสถียร
แนวทางการทำเนื้อครีมไวท์เทนนิ่ง
การทำเนื้อครีมแบบพื้นฐาน (Oil-in-Water Emulsion) มีขั้นตอนทั่วไปดังนี้:
- เตรียมส่วนของน้ำ (Water Phase): ผสมน้ำบริสุทธิ์ สารให้ความชุ่มชื้น และสารออกฤทธิ์ที่ละลายน้ำได้ (เช่น สารสกัดใบบัวบก, วิตามินซีอนุพันธ์บางชนิด) เข้าด้วยกัน อาจต้องใช้ความร้อนเล็กน้อยหากส่วนผสมบางตัวละลายยาก (แต่ต้องระวังอุณหภูมิสำหรับวิตามินซี)
- เตรียมส่วนของน้ำมัน (Oil Phase): ผสมน้ำมันพื้นฐาน และสารสร้างเนื้อครีมที่ต้องใช้ความร้อน (เช่น Emulsifying Wax 1000) เข้าด้วยกัน ให้ความร้อนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายเข้ากันดี
- รวมส่วนผสม: ค่อยๆ เทส่วนของน้ำมัน (หากใช้ความร้อน ต้องมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับส่วนของน้ำ) ลงในส่วนของน้ำ (หรือกลับกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของอิมัลซิไฟเออร์) พร้อมกับคนหรือปั่นด้วยเครื่องผสมความเร็วปานกลางถึงสูง เพื่อสร้างอิมัลชัน
- Cool-down Phase: เมื่อได้เนื้อครีมแล้ว รอให้อุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 40-45°C จึงค่อยเติมสารออกฤทธิ์ที่ไม่ทนความร้อน (เช่น วิตามินซีอนุพันธ์บางชนิด) และสารกันเสีย
- ปรับค่า pH: ใช้เครื่องวัด pH Meter วัดค่า pH ของเนื้อครีม และค่อยๆ ปรับด้วยสารปรับค่า pH (เช่น Lactic Acid หรือ Sodium Hydroxide ละลายน้ำ) จนได้ค่า pH ที่เหมาะสมกับสารออกฤทธิ์ที่ใช้ (เช่น 3.5-6.0 สำหรับ Ethyl Ascorbic Acid หรือ 6.5-6.8 สำหรับ Ascorbyl Glucoside)
- ตรวจสอบความคงตัว: สังเกตเนื้อครีมว่ามีความคงตัวดีหรือไม่ แยกชั้นหรือไม่
ข้อควรระวังและข้อเสนอแนะสำหรับโครงงาน:
- ความแม่นยำ: การชั่งตวงส่วนผสมต้องแม่นยำมาก
- ความสะอาด: รักษาความสะอาดของอุปกรณ์และสภาพแวดล้อมในการทำเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
- การทดสอบความคงตัว: เนื่องจากเป็นโครงงาน 1 ปี ควรมีการทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ที่อุณหภูมิต่างๆ (เช่น อุณหภูมิห้อง, อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย) เพื่อดูว่าเนื้อครีมและสารออกฤทธิ์ยังคงสภาพดีหรือไม่
- การทดสอบประสิทธิภาพ: วางแผนการทดสอบประสิทธิภาพไวท์เทนนิ่งของครีมที่คุณทำขึ้น (เช่น การทดสอบกับอาสาสมัคร, การวัดค่าสีผิว)
- การปรับสูตร: อาจต้องมีการทดลองปรับสัดส่วนของส่วนผสมต่างๆ โดยเฉพาะปริมาณน้ำมันและอิมัลซิไฟเออร์ เพื่อให้ได้เนื้อครีมที่ต้องการ
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการเริ่มต้นโครงงานของคุณนะครับ หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้เลยครับ
ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึง

Ascorbyl Glucoside (AA-2G Stabilized Vitamin C)

Easy Cream Maker™

Centella Asiatica Extract (Madecassoside 90%)

CosmoWhite™ (1-Methylhydantoin-2-Imide)

Emulsifying Wax 1000 (e.q. Emulgade 1000 NI)
